สภาพัฒน์ฯ เปิดแผนโรดแมป 3 กลยุทธ์ พาไทยสู่ความยั่งยืน สร้างความตื่นตัว เชื่อมโยงหน่วยงาน และร่วมมือกันทำ ระบุเกณฑ์การประเมินระดับโลกวัดไทย ทำไปแล้ว 25% สูงกว่าภาพรวมของทั่วโลกUN ระบุสำเร็จไปแล้วเพียง 12%

ในงานเสวนาด้านความยั่งยืน”Sustrends 2024” รวบรวมแนวคิด 50 เทรนด์ความยั่งยืนเปลี่ยนโลก จากผู้เชี่ยวชาญทุกวงการเข้ามาร่วมมือสร้างความเปลี่ยนแปลงทั้งองคาพยพ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และหน่วยงานไม่แสวงหากำไร มาฉายภาพความรู้ แนวคิด เส้นทางพาประเทศไทยสู่การพัฒนาสมดุล ธุรกิจ สังคม โดยไม่ส่งผลกระทบกับโลก

นายธัชไท กีรติพงค์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์ และประสานงานความร่วมมือระหว่างประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวถึงแผนที่พาประเทศไทยสู่ความยั่งยืนว่า ในภาพรวมของระดับโลกทางองค์การสหประชาชาติ ได้เผยถึงรายงานฉบับหนึ่งเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนายั่งยืน (SDGs)ของโลก โดยซึ่งมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จแล้ว 12% ยังเหลืออีกสัดส่วน 50% มีแนวโน้มที่จะไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนแผนงานของประเทศไทย สภาพัฒน์ฯ ได้เปิดเผยถึงทิศทางการขับเคลื่อนที่ผ่านมากว่า 5 ปี มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 25% ซึ่งนับได้ว่าคะแนนของประเทศไทยเหนือกว่าภาพรวมของUN

สิ่งที่จะต้องดำเนินการต่อเนื่อง คือการจัดทำแผนSDGs โรดแมปของประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายประสบความสำเร็จ 100% โดยกำหนดกลยุทธ์ 3 ด้าน คือ
1.สร้างความตื่นตัว ให้รู้จักและเข้าความยั่งยืนที่มีเป้าหมายการพัฒนาความยั่งยืน (SDGs) 17 ด้าน ให้มีการเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างไรกับตัวประชาชน สังคม และคนรุ่นหลัง
2.การสร้างความเชื่อมโยง หน่วยงานราชการเกี่ยวกับประเด็นและกลยุทธ์ความยั่งยืนที่เกี่ยวข้อง ทั้งSDG และ BCG โมเดล(เศรษฐกิจชีวภาพ, หมุนเวียน และสีเขียว) รวมถึง ESG ( สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล การสร้างการมีส่วนร่วมบนหลักการ SDGs เป็นของทุกภาคส่วนไม่ใช่ ของคนใดคนหนึ่ง (Partnership for development) ทั้งองค์กรภาครัฐ เอกชน และหน่วยงานอื่นๆ อาทิ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, วิสาหกิจชุมชน, ตลอดจน สถาบันการเงิน สถาบันการศึกษา
3.สร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนา (Citizen engagement) ถือระดับความร่วมมือที่เพิ่มขึ้น โดยการลงมือทำด้วยกัน มีการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน ตามบทบาทของแต่ละฝ่าย

“เริ่มต้นต้องทำให้เข้าใจเรียนรู้เป้าหมายการพัฒนาทั้ง 17 ด้าน ที่จะเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของประชาชนอย่างไร พร้อมกันกับหาวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนสู่ความยั่งยืน ที่เข้าใจจากตัวเองขยายสู่ครอบครัวและสังคม เรียกว่าเป็นโมเดล ดอกเห็ด ในการค่อยๆ สร้างสปอร์ความยั่งยืน กระจายไปแตกวงในพื้นที่ข้างๆ จนเต็มทุกพื้นที่”
สิ่งที่ไทยทำได้ดีคือในด้านของการเพิ่มรายได้คนจน และลดความเหลื่อมล้ำทางด้านเพศ การเข้าถึงโอกาส แต่สิ่งที่ยังต้องปรับปรุงพัฒนา คือ การลดขยะในทะเล ซึ่งเป็นปัญหาที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังจากโควิด-19

ผ่าแนวคิด 50 เทรนด์ปรับเข็มทิศสู่ความยั่งยืน
เปลี่ยนแนวคิดเซ็ทระบบสร้างโลกสมดุล

นายทรงกลด บางยี่ขัน บรรณาธิการบริหาร The Cloud และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Cloud and Ground จำกัด ผู้จัดงาน Sustrends 2024 I 50 เทรนด์ความยั่งยืนที่กำลังเปลี่ยนโลก เปิดเผยถึงแผนการผลักดันแนวคิดด้านความยั่งยืน ถือเป็นพันธกิจหลักของทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงประชาชนคนทั่วไป ต้องหันมาใส่ใจสร้างความร่วมมือสู่ความยั่งยืน โดยเริ่มต้นจากตัวเราเอง ปรับพฤติกรรม เช่น การรณรงค์ให้แยกขยะในครัวเรือน และส่งต่อไปรีไซเคิลยังหน่วยงานที่ถูกต้อง ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่ทุกภาคส่วนเริ่มหันมาใส่ใจด้านความความยั่งยืนอย่างจริงจัง

ในขณะเดียวกัน เรายังมองต่อเนื่องว่า หากมีผู้เชี่ยวชาญตัวจริงในวงการต่าง ๆ มาส่งต่อองค์ความรู้หรือเทรนด์ความยั่งยืนใหม่ ๆ น่าจะกระตุ้นให้เกิดความสนใจด้านความยั่งยืนมากขึ้น จึงรวบรวม 20 วิทยากรตัวจริง ทั้งกลุ่มคนที่เป็นผู้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านความยั่งยืน, กลุ่มคนที่ดูแลด้านการพัฒนาเมือง การวางระบบโครงสร้างเพื่อการพัฒนาประเทศ, กลุ่มคนที่ใส่ใจตั้งแต่ฐานราก สิ่งแวดล้อม รวมไปถึงกลุ่มคนที่ศึกษาศาสตร์การพัฒนา การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเชิงลึกถึงระดับพันธุกรรม เป็นต้น มาเล่า 3 เทรนด์ที่ควรรู้ในวงการของตัวเองให้ฟัง

‘เรามุ่งหวังให้ทุกคน ทุกองค์กรในประเทศไทย หันมาใส่ใจเรื่องความยั่งยืนอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงกระแสที่พัดมาแล้วผ่านไป เพราะการแข่งขันภายใต้กฎเกณฑ์ใหม่ของโลกที่ทุกองค์กรต้องเจอ คือการพัฒนาด้านความยั่งยืน เราจึงจัดงานสัมมนาที่รวบรวมเหล่าผู้เชี่ยวชาญในทุกวงการทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และหน่วยงานไม่แสวงหากำไร มาไว้บนเวทีเดียวกัน เพราะเราไม่อยากทิ้งใครไว้ข้างหลัง’

นอกจากนี้ การจัดงาน Sustrends 2024 ยังใส่ใจในทุกมิติ ตั้งเป้าเป็น sustainable event ที่ทุกกิจกรรมภายในงานใส่ใจด้านความยั่งยืนอย่างแท้จริง อาทิ สถานที่จัดเป็นอาคารเปิดโล่ง ไม่ใช้เครื่องปรับอากาศ และระบบพลังงานไฟฟ้าภายในงานมาจากแผงโซลาร์เซลล์ ที่ตั้งขึ้นเฉพาะงานนี้เท่านั้น รวมถึงอาหารและเครื่องดื่มก็ผลิตจากพืช (แพลนต์เบส) โดยภาชนะที่ใส่สามารถนำไปเพาะพันธุ์กล้าไม้ได้ ส่วนของที่ระลึกจะเป็นคำขอบคุณจากน้อง ๆ โครงการ Food for Good ภายใต้มูลนิธิยุวพัฒน์ เป็นต้น ดังนั้น จึงมั่นใจว่า งานนี้! จะเป็นงานสัมมนาเดียวที่พูดเรื่องความยั่งยืนได้ลึกที่สุด แต่เต็มไปด้วยความรู้และความสนุกสนานที่สุด