นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวในโอกาสเป็นประธานเปิดงาน SME MATCHING DAY 2018 มหกรรมจับคู่ธุรกิจสู่ตลาดไทย - อินเตอร์ และกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ SME ก้าวไกลสู่ตลาดโลก ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิล์ด ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศพื้นฐานการเกษตร จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรซึ่งเป็นผู้ผลิต และสามารถเติบโตพัฒนาไปเป็นผู้ประกอบการต่อไปได้ ขณะที่ผู้ประกอบการที่มีมากกว่า 3 ล้านรายในปัจจุบันนั้น ต้องทำให้เกิดความเข้มแข็ง มีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ มีคุณภาพได้มาตรฐาน โดยต้องเริ่มจากการรู้จักตลาดและช่องทางก่อน เพื่อการแข่งขันระยะยาว รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปได้ทัน นำไปสู่ความยั่งยืน ขณะเดียวกันพบว่าผู้ประกอบการไทยยังมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในทางธุรกิจไม่มากนัก ควรเข้าถึงการใช้เทคโนโลยีให้กว้างขวางขึ้น เพื่อให้เท่าทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมมองว่าคนขยับได้เร็วจะได้เปรียบคนช้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดเล็กใหญ่เหมือนเช่นเมื่อก่อนแล้ว รวมถึงจะต้องตื่นตัวไม่นิ่งเฉย มีความพร้อมที่จะปรับตัว และมีความร่วมมือ เพื่อความเชื่อมโยงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าตลาด โดยมีหัวใจสำคัญ คือ นวัตกรรม   “วันนี้ เรืองสำคัญคือการเข้าตลาด หาพันธมิตรอย่างไร เราต้องมองย้อนกลับมาในห่วงโซ่ทั้งห่วงโซ่ ทำให้เราเข้มแข็งทำอย่างไร หัวใจคือนวัตกรรม หรือความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ผลิตภัณฑ์บริการเป็นที่ต้องการ เสนอมูลค่าสูงๆ ให้ผู้บริโภค นอกเหนือจากนวัตกรรมด้านสินค้าและบริการ นวัตกรรมในเรื่องของกระบวนการผลิตก็สำคัญ เพราะช่วยลดต้นทุน การบริหารสินค้าคงคลัง เดี๋ยวนี้มีเครื่องมือพัฒนาเพื่อเอสเอ็มอีมากมาย ควรเข้าไปสัมผัส เอสเอ็มอีต้องมีทั้งเทคโนโลยีและทักษะ” ดร.อุตตม กล่าว   รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังกล่าวด้วยว่า การสร้างนวัตกรรมในภาพรวมต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง หลายประการ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการร่วมมือกันของแต่ละภาคส่วน ทั้งนี้นวัตกรรมเกิดได้ในทุกพื้นที่ ไม่จำเป็นต้องเป็นเมืองหลวงเท่านั้น ขึ้นอยู่กับการสร้าง โดยพื้นฐานก็คือนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลให้การสนับสนุนการพัฒนาของ SME อย่างต่อเนื่อง โดยหวังให้สามารถก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างแท้จริง