ปิดฉากไปแล้วสำหรับสำหรับการประกวดสาวงามระดับโลก MISS UNIVERSE 2018 โดยการประกวดรอบตัดสิน ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 07.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ณ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี หลังจากที่สาวงามจาก 94 ประเทศได้ขึ้นเวทีเป็นครั้งแรก เพื่อให้คณะกรรมการเก็บคะแนนในการประกวดรอบ Preliminary ในชุดว่ายน้ำและชุดราตรี เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ที่ผ่านมา

สำหรับสาวงามที่คว้ามงกุฎ MISS UNIVERSE 2018 ไปครอง ได้แก่ ฟิลิปปินส์ รองอันดับหนึ่ง ได้แก่ สาวงามจาก เซาท์ แอฟริกาใต้ และรองอันดับสอง ตกเป็นของ เวเนซูเอลา

ขณะที่ นิ้ง-โศภิดา กาญจนรินทร์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ทำได้ดีที่สุดในการเข้ารอบ 10 คนสุดท้ายเท่านั้น ท่ามกลางเสียงเชียร์ของแฟนนางงามชาวไทยและต่างประเทศที่ส่งให้อย่างล้นหลาม

ส่วนรางวัลชุดประจำชาติยอดเยี่ยมตกเป็นของ สาวงามจากประเทศลาว ออนอะนง หอมสมบัติ ที่มาในธีม Stream of Generosity หรือกระแสแห่งความเอื้ออาทร ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก “กินรี” นั่นเอง

สำรับการประกวด มิสยูนิเวิร์ส 2018 รอบตัดสิน (Final Round) ครั้งนี้ ได้ใช้ระบบการคัดเลือกสาวงามเข้ารอบ คือ 20 คนสุดท้าย 10 คนสุดท้าย 5 คนสุดท้าย 3 คนสุดท้าย เพื่อหาสาวงามเพียง 1 เดียวจาก 94 ประเทศ โดยช่วงแรกจะแบ่ง 94 สาวงามออกเป็น 3 กลุ่มตามทวีปต่างๆ ได้แก่ กลุ่มทวีปอเมริกา, กลุ่มทวีปยุโรป, กลุ่มทวีปแอฟริกาและเอเชีย-แปซิฟิก จากนั้นจะคัดเลือกสาวงาม 5 คน ในแต่ละกลุ่มทวีป รวม 15 คน และมีกลุ่มไวลด์การ์ด คือการคัดเลือกสาวงามจากกองประกวดโดยไม่อิงตามกลุ่มทวีป อีก 5 คน รวมเข้าสู่รอบ 20 คน

โดยให้ทั้ง 20 คน พูดถึง “แรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิต” ภายในเวลา 15 วินาที ถัดจากนั้นคัดเลือกสาวงามเข้ารอบ 10 คน โดยสาวงามผู้ผ่านเข้ารอบ 10 คน ที่เดินอวดโฉมในชุดว่ายน้ำจากแบรนด์ SIRIVANNAVARI และชุดราตรี ตามด้วยการคัดเลือกสาวงามจาก 10 คน เข้าสู่รอบ 5 คน โดยทั้ง 5 คน สุดท้าย ได้แก่ เกียรา โอร์เตกา มิสยูนิเวิร์สเปอร์โตรีโก, เห่อแฮน เนีย มิสยูนิเวิร์สเวียดนาม, แคทรีโอนา เกร์ย มิสยูนิเวิร์สฟิลิปปินส์, แทมาริน กรีน มิสยูนิเวิร์สแอฟริกาใต้ และ เอสเตฟานิ กูติเอร์เรช มิสยูนิเวิร์สเวเนซุเอลา

ทั้งนี้ นิ้ง ปรากฏกายด้วยชุดราตรียาวจาก อาซาวา ที่ออกแบบและรังสรรค์จากความตั้งใจที่จะถ่ายทอดตัวตนและดึงความโดดเด่นของนางงามและความเป็นไทยเป็นสำคัญ นำเสนอผ่านชุดราตรีซึ่งผสมผสานงานศิลปกรรมไทยเข้ากับความวิจิตรแบบสากล โดยโครงชุดในครั้งนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ในยุค 1960 ซึ่งมีความสง่างามและแฝงวัฒนธรรมความเป็นไทยอย่างกลมกล่อมละเมียดละไม