นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม  อยู่บำรุง ประะธานรณรงค์หาเสียงพรรคเพื่อไทย ปราศรัยพาดพิงพรรคพลังประชารัฐว่า จะแพ้พรรคเพื่อไทยแน่นอนว่า ในฐานะรองโฆษกพรรค มีหน้าที่ป้องกันส่วนได้ส่วนเสียของพรรค ซึ่งไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ร.ต.อ.เฉลิมก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ยังโม้อมตะ ชมตัวเอง พูดแต่เรื่องตัวเองกว่า40นาที ทั้งที่ชาวบ้านอยากฟังนโยบาย การปราศรัยครั้งแรกของ ร.ต.อ.เฉลิม น่าผิดหวังอย่างมาก ไม่สมราคาคุย น้ำเสียงแผ่วเบา ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ ไม่มีสาระ มุขเดิมๆ ลงพื้นที่วันเดียวก็บอกว่า พรรคเพื่อไทยชนะแล้ว แสดงว่าไม่มีข้อมูลเชิงลึกเลย พวกตนลงพื้นที่มากว่า 7 เดือนแล้ว ตั้งแต่เป็นกลุ่มสามมิตรจนมาเป็นพรรคพลังประชารัฐ ทำให้ทราบความต้องการของพี่น้องประชาชนดี ประชาชนตอบรับพรรคพลังประชารัฐมาก และพรรคพลังประชารัฐจะนำนโยบายที่ดีของรัฐบาลมาทำต่ออย่างแน่นอน โดยเฉพาะในเรื่องสวัสดิการต่างๆ

นายธนกร กล่าวอีกว่า เห็น ร.ต.อ.เฉลิมปราศรัยแล้วรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก เปรียบเสมือนม้าแก่ที่วิ่งไม่ไหวแล้ว ถึงตนจะเป็นม้าไม่มีชั้นตามที่ร.ต.อ.เฉลิมเคยดูแคลนไว้ แต่ก็ยังวิ่งดีอยู่ ไม่อยากพูดมากเจ็บคอ เพราะถือเป็นการนับถอยหลังของร.ต.อ.เฉลิมแล้ว ส่วนการทำโพลที่ระบุว่าพรรคเพื่อไทยได้ 38.3 เปอร์เซนต์ พรรคพลังประชารัฐได้ 4.7 เปอร์เซนต์นั้น ไม่สมเหตุสมผล เพราะขณะนี้กระแสพรรคดีวันดีคืน นโยบายก็ดี ว่าที่ผู้สมัครก็เป็นบุคคลที่ใกล้ชิดพี่น้องประชาชน นอกจากนี้ ตัวเลขที่อ้างก็ห่างกันแบบผิดปกติ สอดรับที่ตนเคยบอกว่ามีกระบวนการดิสเครดิตพรรคพลังประชารัฐด้วยวิธีการต่างๆ แต่พรรคไม่ได้หวั่นไหวอะไร ยังลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าจะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอย่างแน่นอน

นายธนกร กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่ร.ต.อ.เฉลิมระบุว่า กำนันสุเทพบอกว่าเราเป็นเผด็จการ เราเสนอพ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยรัฐธรรมนูญปี50 มาตรา130อนุญาตให้เสนอกฏหมายได้ เป็นเอกสิทธิของส.ส. ผู้แทนเซ็นชื่อไม่ผิด แล้วเสนอ 3 วาระรวดเพราะพรรคเพื่อไทยฉลาดนั้น ไม่ทราบว่าร.ต.อ.เฉลิมใช้ส่วนไหนคิด รู้หรือไม่ว่าพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับลักหลับพิจารณาตี4นำมาซึ่งความขัดแย้งของคนทั้งประเทศ เกือบจะเกิดม็อบชนม็อบจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง ส่วนมี่ระบุว่า4รัฐมนตรียังไม่ลาออกต้องมีหิริโอตัปปะนั้น อยากถามร.ต.อ.เฉลิมว่า ท่านเองก็สะกดคำว่าหิริโอตัปปะถูกด้วยหรือ 4 รัฐมนตรีมีธรรมาภิบาล ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยเหมือนอดีตรัฐมนตรีบางคน