“ลุงตู่” ย้ำอย่าหลงเชื่อ หลงแชร์ ข้อมูลข่าวสารที่ไม่มั่นใจ

by ThaiQuote, 21 ตุลาคม 2559

โดยรัฐบาลขอให้คำมั่น ที่จะปฏิบัติหน้าที่ สานต่อพระราชภารกิจ และสนองพระปฐมบรมราชโองการ อย่างเต็มกำลังความสามารถและสติปัญญา รวมทั้งขอปฏิญาณตนว่า จักจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จนกว่าชีวิตจะหาไม่

ในเรื่องของการสื่อสารกับประชาชน รายการจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของรายการ เน้นในเรื่องของการ การดำเนินการสานต่อพระราชภารกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ ทั้งนี้ ศาสตร์พระราชาซึ่งได้รับการยกย่องในเวทีระดับโลก  หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” (Sufficiency Economy Philosophy : SEP) ได้รับการเชิดชูสูงสุด จากองค์การสหประชาชาติ (UN) และองค์การสหประชาชาติได้สนับสนุนให้ประเทศต่างๆที่เป็นสมาชิก ทั่วโลก ได้ยึดถือเป็นแนวทางสู่การพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน

ในส่วนของรัฐบาล ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่า ที่ผ่านมา ได้ส่งเสริมให้ประชาชน ได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ ในหลายๆ รูปแบบ  เช่น การจัดทำบัญชีครัวเรือน เพื่อ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้

รวมถึงการ ต่อยอด ขยายผลหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระดับภูมิภาค และระดับโลก ทั้งในเวที G77, G20 และ ACD ที่ผ่านมา รัฐบาลได้นำเสนอผลสำเร็จ ในการพึ่งพาตนเอง สร้างความเข้มแข็ง ตั้งแต่ระดับฐานราก  เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน มีความสมดุลในทุกมิติ รวมทั้งการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ผ่าน ศูนย์ศึกษาการพัฒนาต่างๆ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทั้ง 6 แห่ง ตามภูมิภาคที่แตกต่าง ได้แก่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา, ห้วยทราย จ.เพชรบุรี, อ่าวคุ้งกระเบน จ.จันทบุรี, ภูพาน จ.สกลนคร, ห้วยฮ่องไคร้ จ.เชียงใหม่ และพิกุลทอง จ.นราธิวาส

นอกจากนี้  รัฐบาลได้สืบสานพระราชปณิธาน ผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่มีมากกว่า 4,000 โครงการ ทั่วประเทศ ให้ยังคงอยู่ อีกทั้ง ได้ขยายศักยภาพ โดยนำหลักการบริหารของ ศูนย์การเรียนรู้ประกอบกับการแสวงประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่  โดยมีการจัดตั้ง ศูนย์การเรียนรู้ของกระทรวงต่างๆ  เช่น ศูนย์เรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ ของกระทรวงศึกษาธิการ จำนวนมากกว่า7,000 แห่งทั่วประเทศ ศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จำนวน 2,000 กว่าแห่ง เพื่อรองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล, นโยบาย ไทยแลนด์ 4.0และการสร้าง Smart Farmer เป็นต้น โดยยังมีการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ระยะ 5 ปี, 2559 ถึง 2564 บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่ออีกว่า “สำหรับ ศาสตร์พระราชาที่เกี่ยวกับน้ำ  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสนพระราชหฤทัย เกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำเป็นพิเศษ ทรงให้ความสำคัญในลักษณะ น้ำคือชีวิตดังพระราชดำรัส ตอนหนึ่งว่า“...หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูก เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั่น  ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้  ไม่มีไฟฟ้าคนอยู่ได้  แต่ถ้ามีไฟฟ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้...

การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกหรือการชลประทานนั้น  นับเป็นงานที่มีความสำคัญ ซึ่งมีการดำเนินการตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ เพื่อแก้ไขปัญหากับประชาชนมาโดยตลอด อย่าง ในโครงการฝนหลวงที่ทดลองในท้องฟ้าเป็น ครั้งแรกในปี 2512  จนถึงปัจจุบัน  ซึ่งพระองค์ ทรงติดตามการปฏิบัติการฝนหลวง ด้วยพระองค์เองโดยตลอด  และได้พระราชทานตั้ง ศูนย์ฝนหลวงพิเศษพร้อมทั้งพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และคำแนะนำ อยู่เสมอ จนมีการนำเอาไปเป็นต้นแบบใช้ในอีกหลายประเทศ โดยได้รับพระบรมราชานุญาต สิทธิบัตรฝนหลวง ใน ออสเตรเลีย, แทนซาเนีย, โอมา และจอร์แดน นะครับ  และกำลังเตรียมการเรื่องนี้ด้วยในประเทศภูฎาน 

ส่วนเรื่องของการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนด้านอุทกภัย และด้านน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค  ก็ยังมีโครงการแก้มลิง  และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ช่วยให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างมีระบบ  ซึ่งรัฐบาลได้น้อมนำแนวทางแก้ปัญหาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ  จัดทำเป็น แผนบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการทั้งระบบระยะยาว 12 ปี  ตั้งแต่ ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง” 

นอกจากนั้น เรายังมีมาตรการเสริม เพื่อช่วยให้การบริหารจัดการน้ำ ทั้งในเขตและนอกเขตชลประทาน มีประสิทธิภาพมากขึ้น การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ Agri Map เข้ามาช่วยในกระบวนการโซนนิ่ง, การทำเกษตรแปลงใหญ่, การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืช, การทำไร่นาสวนผสม เป็นต้นนะครับ ของกระทรวงเกษตร จำนวน 882 ศูนย์” นายกรัฐในตรีกล่าวและว่า

สำหรับในห้วงเวลานี้ อยากขอบคุณ  เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ประชาชนทุกคน รวมถึง จิตอาสาที่ช่วยกันดูแลพี่น้องประชาชนจากทั่วประเทศ ที่จะเดินทางมาแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ บริเวณท้องสนามหลวงซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี แด่ พ่อหลวงของปวงชนชาวและอยากให้พี่น้องประชาชนคนไทย มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ช่วยเหลือแบ่งปัน  ทั้งในวันนี้ และในวันข้างหน้า

อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานี้ ควรต้องระมัดระวังเรื่องความขัดแย้ง ซึ่งในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านนี้ มีข้อมูลข่าวสาร ที่ทุกคนติดตามกันอยู่ในหลายๆส่วน ขอให้ยึดถือช่องทางสื่อสารของรัฐบาล เป็นสำคัญ  อย่าหลงเชื่อ หลงแชร์ ข้อมูลข่าวสารที่ไม่มั่นใจ ไม่สามารถอ้างอิงแหล่งที่มาได้  เนื่องจากหลายเรื่องมีความอ่อนไหว นอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว อาจสร้างความเสียหายให้กับสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราทุกคน รวมทั้งประเทศชาติด้วย รวมถึง ไม่อยากให้มีการกระทบกระทั่งกัน   ไม่ตัดสินปัญหา ด้วยกำลังแต่ควรใช้สติ และใช้กฎหมาย สังคมมีกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว หากทุกคนเคารพสิทธิ ซึ่งกันและกัน รวมทั้งเคารพกระบวนการของศาลตัดสินยุติธรรม”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

โดย นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวในตอนท้ายว่า  ช่วงเวลาที่เปลี่ยนผ่านอยากให้ทุกคน รวมพลังใจที่จะร่วมกันพัฒนาประเทศให้ก้าวต่อไป สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อสืบสานแนวทางพระราชดำริ และสานต่อพระราชปณิธาน  ด้วยความรู้ รัก สามัคคีของคนในชาติ  มุ่งมั่นตั้งใจขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

                 “รัฐบาลขอขอบคุณพี่น้องประชาชนคนไทยทั่วทั้งประเทศที่ได้ร่วมกัน ทั้งร่วมมือร่วมใจให้กำลังใจซึ่งกันและกัน กุมมือกันผ่านช่วงเวลาที่โศกเศร้าแสนสาหัสในครั้งนี้ กลับสู่สติที่มั่นคงและก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน ด้วยปัญญาด้วยพลังและด้วยจิตใจที่เข้มแข็งและแนวแน่ ที่จะสืบสานพระราชปณิธานแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระองค์ผู้เป็นที่รักเทิดทูนของพวกเราทุกคน” นายกรัฐมนตรีกล่าว