เลิกวิ่งตามแฟชั่นจานด่วน เสื้อผ้ามือสอง ตอบยุคฉลาดเลือกของถูกและดีต่อคนและโลก

by ทีม ESGuniverse, 4 เมษายน 2567

ยุควิกฤติค่าครองชีพราคาสูง สวนทางเงินในกระเป๋า บวกกับความตระหนักรู้พิษภัยร้ายแรงของเสื้อผ้าไส่ไม่กี่ครั้งแต่โลกพังในหลายร้อยปี เลิกวิ่งตามแฟชั่นจานด่วน (Fast Fashion) สร้างคุณค่าให้เงินในกระเป๋า เสื้อผ้ามือสองระบาดหนักในโลกตะวันตก และวัยรุ่นสายรักษ์โลกและวินเทจในไทย ตอบโจทย์ ความยั่งยืนเหนือกาลเวลา

 

การผลิตและการบริโภคในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ ที่มีกำลังการผลิตมากมายจนเกินความต้องการการบริโภคในแต่ละปี ทุก ๆ ปีที่การเติบโตของธุรกิจแฟชั่น แบรนด์เนมเสื้อผ้าเกิดขึ้น นำไปสู่ผลกระทบอันรุนแรงต่อโลกและความเป็นอยู่หลากหลายชีวิตของคน และสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ นี่คือสถิติ ที่บ่งชี้ว่า แฟชั่นจานด่วน (Fast Fashion) ความสวยงามที่หมุนเวียนเปลี่ยนเสื้อผ้าคอลเล็คชั่นใหม่ในแต่ละฤดูกาลนั้น เป็นภัยร้าย ทำลายโลก น่ากลัวกว่าที่คิด

 

 

ภัยร้ายจาก”ขยะ” ฉากหลังวงการแฟชั่น

1.ผลิตขยะถึงปีละ 92 ล้านตัน

มีการผลิตขยะสิ่งทอ 92 ล้านตันทุกปี จากเสื้อผ้า 1 แสนล้านชิ้นที่ผลิตในแต่ละปี ลงเอยด้วยการฝังกลบ เพื่อให้สิ่งต่าง ๆ อยู่ในทิศทางที่เหมาะสม นั่นเทียบเท่ากับว่า ทุกวินาที จะมีรถบรรทุกขยะที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าเทลงที่หลุมฝังกลบ หากแนวโน้มยังคงเป็นแบบนี้ คาดว่าตัวเลขขยะแฟชั่นจานด่วน จะเพิ่มขึ้นเป็น 134 ล้านตันต่อปีภายในทศวรรษนี้

2. การปล่อยมลพิษจากขยะสิ่งทอ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 50% ในปี 2030
อัตราการปล่อยมลพิษทั่วโลก ที่มาจากอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 50% ภายในปี 2030 หากสถานการณ์การบริโภคยังส่งผลทำให้ธุรกิจยังคงเดินหน้าเติบโตเกินการบริโภค และหากไม่มีการหยุดยั้งการผลิต หรือ บริโภคเกินความต้องการ เพื่อลดปริมาณของเสียจากแฟชั่นจานด่วน ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มมลพิษ สู่ชั้นบรรยากาศ


3.สังคมอเมริกาบริโภคเสื้อผ้าแล้วทิ้งถึง 2,150 ชิ้นต่อวินาที
ผู้บริโภคชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยทิ้งเสื้อผ้า 81.5 ปอนด์ต่อคนต่อปี
ในอเมริกาเพียงประเทศเดียว ทิ้งขยะสิ่งทอประมาณ 11.3 ล้านตัน ซึ่งเทียบเท่ากับ 85% ของสิ่งทอทั้งหมด ลงเอยด้วยการฝังกลบเป็นประจําทุกปี ซึ่งโดยเฉลี่ยน้ำหนักประมาณ 81.5 ปอนด์ (37 กิโลกรัม) ต่อคนต่อปี หรือ ราว 2,150 ชิ้นต่อวินาทีทั่วประเทศ

 


4. วัฒนธรรมใส่เสื้อผ้าฉาบฉวย 7-10 ครั้งแล้วทิ้ง ใช้เวลาย่อยสลาย 500 ปี

การผลิตในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าจำนวนมาก ก่อให้เกิดวัฒนธรรมเบื่อง่ายหน่ายเร็ว รู้สึกไม่พึงพอใจกับเสื้อผ้าที่มีอยู่ มีการสวมใส่เฉลี่ยเพียง 7-10 ครั้งก่อนทิ้ง

จํานวนครั้งที่ใส่เสื้อผ้าลดลงประมาณ 36% ใน 15 ปี จากนิสัยส่วนตัวกลายเป็นวัฒนธรรมการทิ้ง มีอัตราแย่ลงเรื่อย ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ซึ่งเส้นใยหรือวัสดุที่ทำมาจากเสื้อผ้า โดยเฉพาะใยสังเคราะห์ต้องใช้เวลาย่อนสลายไม่ต่ำกว่า 500 ปี

 

5. มลพิษจากคาร์บอนและน้ำ สูงมากกว่า 20%

การย้อมสีและการตกแต่ง - กระบวนการที่ใช้สีและสารเคมีอื่นๆ กับผ้า - มีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยคาร์บอน ( CO2) 3% ของโลก และสัดส่วนมากกว่า 20% ของมลพิษทางน้ําทั่วโลก

ในกระบวนการผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอ จะต้องจัดเตรียมเส้นด้ายและการผลิตเส้นใย ที่จะต้องใช้ทรัพยากรและพลังงานมหาศาลในการซักล้าง ปั่น ผลิต ตลอดจนมีเคมีปลอมปน รวมถึงการใช้ปริมาณน้ำ 20,000 ลิตรในการผลิตฝ้ายหนึ่งกิโลกรัม

6. ผลกระทบทางเศรษฐกิจมูลค่าความเสียหาย 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปี

การผลิต และไม่มีการนำกลับมาใช้ใหม่ หรือ รีไซเคิล นอกจากจะเป็นแหล่งมลพิษทางน้ำขนาดใหญ่แล้ว แฟชั่นจานด่วน ยังก่อให้เกิดการสูญเสียน้ำจํานวนมากทุกวัน

หากนึกภาพได้ยาก ให้คิดว่าต้องใช้น้ำประมาณ 2,700 ลิตรในการทําเสื้อยืด ( t-shirt) เพียงตัวเดียว ซึ่งเพียงพอสําหรับหนึ่งคนที่จะดื่มเป็นเวลา 900 วัน นอกจากนี้ การซักเพียงครั้งเดียวยังใช้น้ำระหว่าง 50 ถึง 60 ลิตร
ทรัพยากรที่ถูกใช้ไปโดยสูญเปล่า ไม่ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ ถือเป็นความล้มเหลวในการรีไซเคิลเสื้อผ้า ทำสูญ 5 แสนล้านเหรียญต่อปี


7.ชุดชั้นใน ชิ้นเล็ก แต่เสียหายมหาศาล

การผลิตชุดชั้นใน ( under-wearing) ถือเป็นหนึ่งในความล้มเหลวในการรีไซเคิลเสื้อผ้า เป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดของวัฒนธรรมโยนทิ้งโดยประมาทของเราเสื้อผ้าเหล่านี้ ถูกใช้แล้วโยนทิ้งโดยไม่สามารถนำมารีไซเคิลได้ มีเพียงสัดส่วน 12% ของวัสดุที่ใช้สําหรับเสื้อผ้าจะถูกรีไซเคิล

ปัญหาส่วนใหญ่มาจากวัสดุที่ทําจากเสื้อผ้าของเราและเทคโนโลยีไม่เพียงพอที่จะรีไซเคิล ผ้าที่เราสวมใส่ทั่วร่างกายของเราเป็นการผสมผสานที่ซับซ้อนของเส้นใย อุปกรณ์ติดตั้ง และอุปกรณ์เสริม วัตถุดิบส่วนผสมมาจากเส้นด้ายธรรมชาติ เส้นใยที่มนุษย์สร้างขึ้น อย่างพลาสติกและโลหะ

8.ขยะจากเสื้อผ้า 10% กลายเป็นไมโครพลาสติกที่กระจายตัวในมหาสมุทร คาร์บอนเท่ากับรถ 3.5 ล้านคัน บนถนน

เสื้อผ้าเป็นแหล่งของไมโครพลาสติกจํานวนมาก เพราะวัตถุดิบทําจากไนลอนหรือโพลีเอสเตอร์ ทั้งทนทานและราคาถูก ย่อยสลายยาก เมื่อปลายทางสุดท้ายหล่นไปในมหาสมุทร จึงเข้าไปอยู่ในสิ่งมีชีวิตในท้องทะเล และกลับคืนสู่มนุษย์ เพราะการปลอมปนเข้าไปในอาหารทะเล

เนื่องมาจากกระบวนการสุดท้าย เส้นใยขนาดเล็กที่ค้างอยู่ในน้ำ หลุดลอดผ่าน ระบบบําบัดน้ำเสียของเราปลอมปนอยู่ในน้ำ ส่งผลทำให้เกิดสารปนเปื้อนกว่าครึ่งล้านตันที่หลุดลงไปสู่ปลายทางมหาสมุทร มลพิษจากพลาสติกมีมากกว่า 5 หมื่นล้านขวด โดยรวมสัดส่วน 10%ของพลาสติกที่กระจัดกระจายในมหาสมุทรในแต่ละปีมาจากสิ่งทอ

 

 

 

 

สำหรับส่วนที่ผู้บริโภคส่งคืนไปยังผู้ค้าปลีกจะถูกกำจัดนำไปฝังกลบ สาเหตุหลักมาจากการที่บริษัทต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนำกลับมาหมุนเวียนมากกว่าการกำจัดทิ้ง ในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว นั่นเท่ากับว่า เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 16 ล้านตัน ในปี 2563 ซึ่งเทียบเท่ากับการปล่อยรถยนต์ 3.5 ล้านคันบนท้องถนนในหนึ่งปี

 

เสื้อมือสอง ทางออก
ปรองดองอ่อนโยนต่อโลก


ผู้บริโภคเริ่มตระหนักแล้วว่า ความเสียหายที่กับการเลือกสรรความสวยงามจากแฟชั่นมาไวไปไว วิ่งตามกระแสแฟชั่นโลกที่ไม่เคยหยุดหมุนนั้นเกิดพิษภัยทำร้ายโลกทางอ้อม สิ้นเปลืองทรัพยากรมหาศาล และยังก่อบาปมลพิษ ที่ต้องใช้เวลากำจัด ทั้งที่เสื้อผ้าที่ผลิตเกลื่อนตลาด ใส่เพียง 7-10 ครั้ง แต่ปล่อยให้เสื้อผ้าที่ผลิตมาพังอยู่ไปยาวนานมากกว่า 500 ปี ในการย่อยสลายพลาสติก สร้างมลพิษต่อโลก

 

โยนทิ้ง เลิกวิ่งตามแฟชั่น
กับคืนสู่โลกบริโภคด้วยสติ
แก่นแท้วิถีชีวิต เพื่อตัวเอง ชุมชน และธรรมชาติ

เทรนด์ใหม่ที่ผู้บริโภคเริ่มเข้าใจพฤติกรรมการบริโภคที่ใช้อย่างเดียว โดยไม่เหลียวแล นั้นไม่เป็นผลดีต่อโลก และต่อเงินในกระเป๋า จึงหันมา “บริโภคอย่างมีสติ” คิดก่อนซื้อ และพึ่งพาเสื้อผ้ามือสอง (Second hand Clothes-SHC) ที่ผลิตและมีอยู่แล้วในตลาด

วิธีคิดอย่างนี้ ลูกค้าจะกดดันให้ผู้ผลิตหันมารับผิดชอบต่อสังคม เมื่อยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง จะต้องเป็นผู้ผลิตที่รับผิดชอบ เปลี่ยนตลาดไปสู่ความยั่งยืน
แนวคิดการบริโภคยั่งยืนเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ในแถบประเทศตะวันตก วิถีชีวิต หรือไลฟ์สไตล์คนยุโรป บริโภคด้วยสติ ไม่ตื่นเต้นกับเทรนด์แฟชั่น อิงแอบธรรมชาติในการดำเนินชีวิต ใส่ใจดูแลตัวเอง ชุมชน และสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ควบคู่ไปกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ นี่คือ หลักพื้นฐานทางจิตวิทยา ที่หากยึดแก่นแท้การมีชีวิต ดำรงอยู่เพื่อตัวเอง เพื่อชุมชน และธรรมชาติ จะนำไปสู่การตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อชีวิต หรือความสวยงามฉาบฉวย กับการต้องวิ่งตามแฟชั่นออกไป

การรับรู้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ความห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อม และบรรทัดฐานส่วนตัวเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการซื้อ SHC
วางแผนการใช้เงิน การจับจ่ายเพื่อตัวเองมีความสุขและยังใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมอย่างคู่ขนานกัน เพราะคนเหล่านี้ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการลุกขึ้นมาปกป้องทรัพยากรทางธรรมชาติของโลก

 

 

เสื้อมือสองครองสัดส่วน 10% ตลาดรวม 7.2 ล้านล้านบาท

รายงานวิจัยจากบริษัท โกลบอลดาต้า (GlobalData) ปัจจุบันจนถึงคาดการณ์ ปี 2576 จากการสำรวจผู้บริโภค 3,654 รายในสหรัฐอเมริกา และแบรนด์แฟชั่นและร้านค้าปลีกชั้นนำ ของประเทศ 50 แห่ง พบว่า

-ยอดขายเสื้อผ้ามือสองสัดส่วน 10 % ของตลาดแฟชั่นทั่วโลกในปีหน้า (พ.ศ.2568) เป็นผลมาจากวิกฤตค่าครองชีพสูงขึ้น และความตระหนักเกี่ยวกับความยั่งยืนผลักดันให้ผู้บริโภคหันไปซื้อเสื้อผ้าที่ "มีแบบให้เลือกถูกใจ ในราคาจับต้องได้"

-อัตราการเติบโตของยอดขายเสื้อผ้ามือสองทั่วโลกเพิ่มขึ้น 18% ในปีที่แล้วมีมูลค่า 197 พันล้านดอลลาร์ (ราว 7.2 ล้านล้านบาท) และคาดว่าจะสูงถึง 350 พันล้านดอลลาร์ (ราว12.8 ล้านล้านบาท) คาดว่าภายในปี 2571 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง

-อัตราการเติบโตของ ตลาดเสื้อผ้ามือสองในสหรัฐฯ เติบโตเร็วกว่าร้านค้าปลีกแฟชั่นทั่วไป ถึง 7 เท่า ทั้ง ๆ ที่มียอดขายในปี 2566 ทรงตัว

ทางด้าน เจมส์ ไรน์ฮาร์ต (James Reinhart) ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Thre dUp กล่าวถึงสภาวะการขายต่อเสื้อผ้ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่มีความยากและท้าทายมากขึ้น จึงต้องปรับตัวให้ "มีความยืดหยุ่น" สอดคล้องกับความต้องการผู้บริโภค ที่ต้องแบกรับภาระค่าครองชีพสูงขึ้น จากราคาพลังงานและอาหารที่สูงขึ้น

“เมื่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง คุณค่าของเงินก็เป็นสิ่งสำคัญ ผู้คนจึงหันไปซื้อหาของมือสองเพื่อเพิ่มความคุ้มค่าให้เงินในกระเป๋า” เขากล่าว

เสื้อผ้ามือสองระบาดหนักในไทย
ตามรอยแฟชั่น ในก๊วนรักษ์โลก สายวินเทจ

สำหรับตลาดเสื้อผ้ามือสองของประเทศไทยถือว่ามีกระแสเติบโตอย่างรวดเร็ว แบบระบาดหนักในหลากหลายกลุ่ม ไม่ใช่แค่เฉพาะสายกรีน ที่ถูกใจ แต่ยังรวมไปถึงสายวินเทจและสายแฟชั่นอีกด้วย

โดยที่ผ่านมานอกจากแหล่งชอปปิ้งเสื้อผ้ามือสองอย่าง ตลาดนักจตุจักร ตึกแดง ตลาดปัฐวิกรณ์ ตลาดนกฮูก ช่างชุ่ย ต่างเป็นแหล่งรวมของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่นิยมสินค้ามือสองชื่อดังอยู่แล้ว ยังรวมไปถึงตลาดนัดขายของมือสองอีกมากมาย ที่นอกจากมาจับจ่ายใช้สอยแบ่งปันของดีที่ใช้แล้ว ก็กลับกลายเป็นแหล่งแฮงค์เอาท์แห่งใหม่ของกลุุ่มวัยรุ่นคอเดียวกัน ไลฟ์สไตล์คล้ายกัน
อีเวนท์ เท่ห์ “เทรนด์ FleaMarket” ย่านรวมพลคนเอิร์ธโทน รักษ์โลก ชิคๆย้อนยุค

อีเวนท์ใหญ่ๆ ที่เป็นแหล่งรวมสินค้ามือสอง จึงจัดอย่างต่อเนื่องบ่อยขึ้นและถี่ขึ้น แถมยังได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม อย่างเช่น “เทรนด์ FleaMarket” ที่ได้รับความนิยมจากการขายเสื้อผ้ามือสองสไตล์วินเทจที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 13 บริเวณใจกลางกรุงเทพมหานคร

 

 

และก็ยังมีแบรนด์เสื้อผ้าวัยรุ่นอีกจำนวนมากที่ใช้แนวคิดเสื้อผ้ามือสองมาเป็นการทำธุรกิจด้วยการตัดเย็บชุดเก่าให้เป็นชุดใหม่ (Revamp Clothing) เช่น Dry Clean Only, La Rocca และ Smile Club 1 of 1 ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ถึงเป็นการ Reuse และ Recycle ได้อย่างรักษ์โลกและตอบโจทย์สายแฟชั่นด้วยในคราวเดียวกัน

แบรนด์เสื้อผ้ายักษ์ใหญ่อย่าง Uniqlo ก็ลงเล่นในตลาดนี้ด้วยเช่นกัน ด้วยการเปิดบริการ Re.UNIQLO Studio ที่ให้ผู้ซื้อสามารถปักเย็บลวดลายสไตล์ญี่ปุ่น Sashiko ลงไปได้ ทำให้ได้ใส่เสื้อผ้าตัวโปรดได้นานขึ้น ลดปัญหาขยะแฟชั่นที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับช่องทางออนไลน์ การแข่งขันเทรดเสื้อผ้ามือสองนั้นก็รวดเร็วไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะช่องทางออนไลน์ เฟซบุ๊ค อินสตาแกรม ติ๊กต่อก เอ็กซ์ หรือแม้แต่ Lemon8 เมื่อเข้าค้นหาผ่านแฮชแท็ก #เสื้อผ้ามือสอง ก็จะพบกับกลุ่มผู้ค้าขายจำนวนมากตลอดทุกช่วงวัย มีเสื้อผ้าทุกรูปแบบให้เลือกซื้อไม่แพ้กับตามตลาดนัดเลยทีเดียว

สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมของการซื้อเสื้อผ้ามือสองของวัยรุ่นไทยอย่างมาก เนื่องด้วยราคาที่ถูก จับต้องได้ ซื้อขายง่ายมีรูปแบบให้เลือกจำนวนมาก ในปัจจุบัน นอกจากจะได้เสื้อผ้าใหม่แล้วยังช่วยลดการเกิดฟาสแฟชั่นได้อีกด้วย

 

 

เสื้อผ้ามือสอง ระบาดหนัก แทรกซึม รสนิยมทุกกลุ่ม ทุกเจน

เจมส์ ไรน์ฮาร์ท ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Thred Up กล่าวถึง ความสนใจในสินค้ามือสองไม่ได้จำกัดอยู่เพียงนักช้อปรุ่นเยาว์ที่ค้นหาสินค้าแฟชั่นเท่านั้น แต่ยังเริ่มขยายไปสู่ ​​"รุ่นต่อรุ่น"

รายงานพบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ซื้อทั้งหมดเคยซื้อสินค้ามือสองในปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 65% ของคนรุ่น Z และคนรุ่นมิลเลนเนียล ซึ่งมีอายุระหว่าง 12 ถึง 43 ปี เกือบสองในห้า หรือประมาณ 38% ของผู้บริโภค กล่าวว่าพวกเขา เลือกซื้อของมือสองเพื่อซื้อแบรนด์ระดับไฮเอนด์

สำหรับคนหนุ่มสาว เทรนด์ดังกล่าวได้รับแรงผลักดันจากความสะดวกในการช้อปปิ้งของมือสองแบบดิจิทัลที่เว็บไซต์ต่างๆ เช่น Vinted และ Depop รวมถึง ThredUp โดยคาดว่าจะมียอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะสูงถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์ (1.5 ล้านล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม กระแสความนิยมแบบพรีเลิฟได้รับความนิยมในกระแสหลัก โดยรายการทีวีเรียลลิตี้ Love Island ซึ่งขณะนี้ได้รับการสนับสนุนจาก eBay โดยมีผู้เข้าแข่งขันบางคนทำหน้าที่เป็นผู้มีอิทธิพลในการโปรโมทสไตล์มือสอง

นักช้อปที่มีอายุมากกว่ามีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าในร้านค้าที่มีตัวตนจริง เช่น ร้านค้าเพื่อการกุศล และร้านบูติกเฉพาะทาง ขณะนี้มีความพร้อมใช้งานมากขึ้นของ "pre-loved" บนถนนสูงเนื่องจากผู้ค้าปลีกกระแสหลักตั้งแต่ เซลฟริดจ์ (Selfridges) ไปจนถึง ไพรมาร์ค (Primark) ทดลองกับผู้ขายมือสอง

แม้ว่าเสื้อผ้าเด็กจะเป็นภาคส่วนสินค้ามือสองที่เติบโตเร็วที่สุด แต่แบรนด์ดีไซเนอร์ก็กำลังร่วมมือกับแบรนด์ต่างๆ ที่ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ รวมถึง Thred Up เพื่อโฮสต์การขายต่อผลิตภัณฑ์ของตนทางออนไลน์หรือในร้านค้า มีแบรนด์สินค้าเข้าร่วมมากขึ้นเนื่องจากผู้บริโภคหวังว่าจะตระหนักถึงคุณค่าที่มีอยู่ในตู้เสื้อผ้าของตนเพื่อใช้ในการซื้อครั้งใหม่

 

 

แนวโน้มเติบโต แม้ว่ายังขาดทุนอยู่

เจมส์ ไรน์ฮาร์ท ให้มุมมอง ถึงการออกกฎหมายที่ช่วยให้ผู้ผลิต และผู้เกี่ยวข้องกับวงการแฟชั่นได้ช่วยกัน ออกแบบมาเพื่อจำกัดแฟชั่นแบบใช้แล้วทิ้งทั่วโลกก็เป็นส่วนหนึ่งของแรงจูงใจให้แบรนด์ต่างๆ ทำมากขึ้น

“ไม่น่าเชื่อว่าจะมีกิจกรรมบางอย่างในพื้นที่นั้นในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เมื่อพิจารณาว่าเสื้อผ้าจำนวนมากต้องถูกฝังกลบ จำนวนมากขึ้น” เขากล่าว

แม้จะมียอดขายเติบโตอย่างมาก แต่ผู้ขายสินค้าแฟชั่นออนไลน์ที่เชี่ยวชาญก็พบว่าการทำเงินเป็นเรื่องยาก วินเทด (Vinted) ซึ่งมียอดขายขาดทุนก่อนหักภาษี 47.1 ล้านยูโร (1,847 ล้านบาท) ในปี 2565 แม้ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น 51% บัญชีที่ยื่นที่ Companies House (กรมธุรกิจการค้า) แสดงให้เห็นว่าการขาดทุนก่อนหักภาษีของ เดป็อป (Depop) ที่ 59.4 ล้านปอนด์ (2732.57 ล้านบาท) เกินกว่ายอดขาย 54.3 ล้านปอนด์(2497.96 ล้านบาท) ในปี 2565

ไรน์ฮาร์ต กล่าวว่า Thredup ซึ่งขาดทุนพื้นฐาน 2.1 ล้านดอลลาร์ (ราว 76.7 ล้านบาท)ในปีที่แล้ว แม้ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น 14% เป็น 81.4 ล้านดอลลาร์ (2,971 ล้านบาท) คาดว่าจะสามารถคุ้มทุนในปีนี้ในระดับพื้นฐานเมื่อยอดขายเพิ่มขึ้นและอัตรากำไรเพิ่มขึ้น “เรามีความมั่นใจอย่างมาก” เขากล่าว

 

ที่มา: https://link.springer.com/article/10.1007/s12144-021-02657-9
https://earth.org/statistics-about-fast-fashion-waste/
https://www.theguardian.com/business/2024/mar/27/secondhand-clothing-on-track-to-take-10-of-global-fashion-sales
ชวนรู้จัก 3 แบรนด์แฟชั่นไทย คืนชีวิตใหม่ให้เสื้อผ้ามือสอง | The 1 Today | The 1 Today