ตะลึง! เกือบ 80% องค์กรไทยไร้แผนรับ AI

by ThaiQuote, 22 กันยายน 2561

ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ นักเศรษฐศาสตร์จุลภาคประยุกต์ และซีอีโอ บริษัท Siametrics Consulting กล่าวในการสัมมนาหัวข้อ “Big Data” ภายในงาน Digital Thailand Big Bang 2018 ซึ่งจัดโดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ว่า ถ้าพูดถึงเรื่อง Big Data จะเห็นภาพของคอนเซ็ปต์เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่การนำไปใช้งานผ่านแอปพลิเคชันและการบริการยังมีช่องว่างอยู่มาก จึงต้องอาศัยการวางกลยุทธ์ ทั้งนี้ หากลองมาดูมูลค่าการซื้อขายของบริษัทชั้นนำของโลก 7 อันดับ จะมีมูลค่ามากกว่า GDP ของประเทศไทยถึง 11 เท่า สาเหตุก็เพราะว่าบริษัทเหล่านั้นมีการใช้งาน Big Data มานานแล้ว และสร้างประโยชน์จาก Big Data ได้อย่างมหาศาล ขณะที่ในยุคนี้เป็นยุคทองของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI จากผลสำรวจพบว่า 72% ของเทคโนโลยี AI และ Big Data จะเข้ามาในอีก 5 ปีต่อจากนี้ แต่ 77% ขององค์กรในประเทศไทยยังไม่มีแผนการรองรับ เนื่องจาก Big Data มีความสลับซับซ้อน ต้องรวบรวมข้อมูลทุกอย่าง ซึ่งในยุค 4.0  ข้อมูลไม่มีวันดีที่สุดและดีเสมอไป รวมทั้งยังมีค่าใช้จ่ายสูงในการตรวจสอบความถูกต้อง ข้อมูลที่ได้รับมีโอกาสผิดพลาดได้ง่าย มีเรื่องกฏหมายและจริยธรรมมาเกี่ยวข้อง การที่ประเทศไทยจะเริ่มต้นด้านการจัดการ Big Data นั้น ต้องเริ่มจากข้อมูลที่เรียบง่ายและเกี่ยวข้องกัน ต้องคิดถึงผลแห่งความสำเร็จ ผู้บริหารต้องมีความเห็นตรงกันว่าทรัพยากรบุคคลมีความสำคัญ การจัดการข้อมูลและเครื่องมือต่างๆ ช่วยให้การทำงานดีขึ้น อย่าให้นโยบายและกฎระเบียบต่างๆ มาเป็นอุปสรรค ด้านนายอโณทัย เวทยากร รองประธานบริหาร บริษัทเดลล์ อีเอ็มซี ภูมิภาคอินโดจีน กล่าวว่า เดลล์ คาดการณ์ว่าในปี 2025  จะมีอุปกรณ์ IoT เกิดขึ้นมากว่า 1 ล้านล้านชิ้น จะมี VR และ AR เป็นตัวเชื่อมระหว่างโลกทางกายภาพและโลกดิจิทัลให้กันมากขึ้น เช่น วิดีโอ 360°  โฮโลแกรม  แว่นตาเสมือนจริง ซึ่งจะสามารถสร้างประโยชน์ได้อีกหลายด้าน จะมีหุ่นยนต์ที่เป็นผลรวมของเทคโนโลยีที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม มักจะมีคำถามว่าอนาคตหุ่นยนต์จะมาแทนที่คนได้หรือไม่  ก็ต้องบอกว่าหุ่นยนต์เหมาะการทำงานแบบซ้ำๆ งานละเอียดและงานเสี่ยงภัย ส่วนงานที่ต้องใช้อารมณ์และการตัดสินใจซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ก็ยังต้องใช้มนุษย์ ขณะที่ นายธีร์ ฉายากุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัททราเวลโลกา กล่าวว่า การทำธุรกิจของทราเวลโลกาถือกำเนิดจากจุดเริ่มต้นของการสังเกตและวิเคราะห์ปัญหาของการท่องเที่ยว ซึ่งในอดีตในการท่องเที่ยวนั้นจะมีความยุ่งยากในการหาข้อมูลในแต่ละครั้งของการเดินทาง เช่น การจองห้องพัก การจองตั๋วเครื่องบิน ในแต่ละครั้งต้องมีค้นคว้าหาข้อมูลและเปรียบเทียบราคาจากหลายๆ เว็บไซต์ของแต่ละแหล่งเพื่อหาข้อมูลราคาและคุณภาพที่ตรงกับความต้องการ จากจุดนั้นบริษัทฯ จึงได้แนวคิดในการทำธุรกิจจากการต้องการแก้ไขปัญหาสำหรับลูกค้าเพื่อให้ข้อมูลการท่องเที่ยวมารวมอยู่ในแหล่งเดียวกัน โดยการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้ ซึ่งสิ่งสำคัญในดำเนินธุรกิจนี้คือการใช้ประโยชน์จากข้อมูล Big Data ทำให้บริษัทฯ ได้เติบโตอย่างรวดเร็วและได้เริ่มขยายฐานข้อมูลจากจุดเริ่มต้นในอินโดนีเซีย และครอบคลุมไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งรวมถึงไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เป็นต้น สำหรับ “ทราเวลโลกา” เป็นผู้นำด้านโมบายเว็บของธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและสายการบิน โดยสถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์ในระหว่างเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2018 กว่า 5 ล้านคน โดยทราฟฟิกแชร์ของบริษัทร้อยละ 51.2 มาจากการให้บริการผ่านมือถือ และร้อยละ 48.8 จากผู้ใช้บริการผ่านทางเดสก์ท็อป   ซึ่งคาดว่า Digital Economy ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะมีการเติบโตขึ้นร้อยละ 15 ภายใน 10 ปี มูลค่ารวมกว่า 197 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในส่วนของธุรกิจท่องเที่ยวผ่านบริการออนไลน์คาดว่าจะมีมูลค่าคิดเป็นร้อยละ 38 หรือ 77 พันล้านเหรียญสหรัฐ ของ Digital Economy ทั้งหมด สำหรับตลาดในประเทศไทยนั้น บริษัทฯ คาดการณ์ว่าในระหว่างปี 2015 จนถึงปี 2025 ธุรกิจท่องเที่ยวผ่านบริการออนไลน์จะเติบโตถึง 5 เท่า จากมูลค่า 3.9 พันล้าน เป็น 19.8 พันล้าน ซึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้น เนื่องจากบริษัทได้นำ Big Data มาใช้งานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต่อธุรกิจ รวมถึงการบริหารงานรูปแบบอื่นๆ ให้กับลูกค้า เช่นการท่องเที่ยวก่อนจ่าย ดูแลลูกค้ายามเกิดเหตุภัยพิบัติโดยการเตือนภัย เป็นต้น   ข่าวที่เกี่ยวข้อง https://www.thaiquote.org/content/45732