ขั้นตอนทำความสะอาด หลัง “ปาบึก” เข้าภาคใต้

by ThaiQuote, 10 มกราคม 2562

ที่เห็นเด่นชัดที่เกิดขึ้นคือ เชื้อราที่เกิดตามผนังอาคารบ้านเรือน เชื้อราจัดเป็นจุลินทรีย์ชนิดหนึ่ง ที่มีอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติ ไม่สามารถสังเคราะห์แสงเพื่อผลิตอาหารเองได้ แต่ได้รับอาหารจากการสร้างเอนไซม์ย่อยสลายวัสดุอาศัยแล้วดูดซึมเข้าสู่เซลล์ เซลล์ของเชื้อรามักรวมกันเป็นเส้นใย โครงสร้างเส้นใยของเชื้อราไม่ซับซ้อน ไม่มีระบบท่อลำเลียงน้ำ ทำให้เชื้อราต้องอาศัยความอับชื้นจากสิ่งแวดล้อมในการเจริญเติบโต   ดังนั้น สภาวะที่เหมาะสมต่อการเจริญของเชื้อราคือสภาวะที่อากาศไม่ระบายและมีความชื้นสูง เชื้อราส่วนใหญ่แพร่กระจายพันธุ์โดยการสร้างสปอร์ที่มีขนาดเล็ก ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า สปอร์จะลอยผ่านอากาศ และเมื่อสปอร์ตกลงบนพื้นผิวที่เปียกหรือมีความชื้น เชื้อราจะเริ่มเจริญเติบโต ดังเช่นในสภาวะน้ำท่วมขังภายในอาคารบ้านเรือนที่ปิดมิดชิด เป็นอีกสภาวะหนึ่งที่กระตุ้นการเจริญเติบโตและเพิ่มปริมาณของเชื้อรา   เชื้อราหลังน้ำลดเป็นกลุ่มเดียวกันกับเชื้อราที่ปกติพบตามอาคารบ้านเรือนที่อับชื้น เชื้อรากลุ่มนี้มีมากมายหลายชนิด แต่ที่พบบ่อยมีอยู่ไม่กี่สกุล เช่น สกุล Aspergillus , Cladosporium, Penicillium และ Stachybotrys เป็นต้น   ความเสียหายและอันตรายจากเชื้อรา ๑. วัสดุที่เชื้อราอาศัยเจริญอยู่จะเสื่อมสภาพจากการที่ถูกเชื้อราย่อยไปเป็นอาหาร ๒. เส้นใยของเชื้อราที่เจริญอยู่ที่ผิววัสดุต่างๆ เมื่อรวมกันเป็นจำนวนมากจะปรากฏให้เห็นด้วยตาเปล่า หรือทำให้เกิดสีที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นบนวัสดุนั้นๆ ๓. ชิ้นส่วนหรือสปอร์ที่เชื้อราสร้างขึ้นเพื่อแพร่กระจายพันธุ์เมื่อฟุ้งกระจายไปในอากาศอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะกับระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ มีอาการไอ จาม น้ำมูกไหลและอาจเกิดการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจได้หากร่างกายอ่อนแอหรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคไต ทำให้เกิดอันตรายรุนแรง เชื้อราสามารถกระตุ้นอาการหอบในคนที่เป็นโรคหอบหืดอยู่แล้ว   นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อตา จมูก หลอดลม ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน และแพ้เป็นผื่นลมพิษได้   วิธีควบคุมและกำจัดเชื้อราหลังน้ำท่วม ๑. ควรจะมีการสำรวจดูว่าบริเวณใดมีเชื้อราเกิดขึ้น โดยเฉพาะถ้ามีน้ำท่วมขังนานกว่า ๒ วันขึ้นไป จะมีโอกาสเกิดเชื้อราขึ้นได้แม้จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า บริเวณที่มักมีเชื้อราซ่อนอยู่ ได้แก่ ใต้พื้น บริเวณฝ้าเพดาน ท่อน้ำที่รั่วซึม หรือใต้วอลเปเปอร์โดยเฉพาะวัสดุบุผนังที่เป็นพลาสติกชนิดพิเศษที่เรียกว่าไวนิล จะแห้งแต่ภายนอกเท่านั้น แต่จะเก็บกักความชื้นไว้ข้างใต้ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี   การสำรวจดูเชื้อราอาจทำได้ ๒ ทาง คือ ดูด้วยตา จะเห็นได้จากรอยเปื้อน หรือมีเส้นใยขึ้น และวิธีการดมกลิ่น กลิ่นเชื้อราจะเหม็นอับทึบ หรือเหม็นคล้ายกลิ่นดิน หากสงสัยให้ปฏิบัติดังนี้ สิ่งใดที่ไม่สามารถกำจัดเชื้อราได้หมดจดให้ทิ้งไป ถ้าเป็นสิ่งของที่ทำด้วยผ้า หากต้มได้ต้องฆ่าเชื้อด้วยการต้มน้ำร้อนก่อนจึงนำมาใช้อีก   ๒. รีบทำความสะอาดพื้นและผนังโดยการขัดล้างให้เร็วที่สุด ก่อนลงมือทำความสะอาดควรแต่งกายให้มิดชิด สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว สวมรองเท้าบู๊ต สวมถุงมือยาง สวมหน้ากากอนามัย ใส่แว่นตา เพื่อป้องกันเชื้อและของเหลวมาสัมผัสบริเวณร่างกาย ระหว่างทำความสะอาดให้เปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ และเปิดพัดลมเพื่อช่วยให้แห้งโดยเร็ว หลักการและวิธีทำความสะอาดเพื่อกำจัดเชื้อรา   ควรแยกพื้นที่ที่จะทำความสะอาดให้อยู่ในวงจำกัดในมุมหนึ่งของบ้านและควรทำนอกอาคารถ้าเป็นไปได้   ในกรณีที่วัสดุนั้นๆ ยากแก่การทำความสะอาดหรือมีรูพรุนมาก มีเชื้อรามาก ให้คัดแยกวัสดุนั้นทิ้งไป และในการทิ้งต้องห่อด้วยพลาสติกเพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของสปอร์เชื้อรา   เริ่มแรกควรล้างด้วยน้ำและสบู่หรือผงซักฟอกเพื่อขจัดสิ่งสกปรกออกก่อน แล้วตามด้วยน้ำยาที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา   ตัวอย่างของน้ำยาที่ฤทธิ์ฆ่าเชื้อราแบบอ่อน ได้แก่ ๑. น้ำส้มสายชู ควรมีความเข้มข้นอย่างน้อย ๗% ควรใช้กับกระดาษหรือใส่ขวดสเปรย์ฉีดใส่บริเวณที่มีเชื้อราขึ้นทิ้งไว้ ๕-๑๐ นาทีแล้วเช็ดออกได้เลย กำจัดได้ในระดับน่าพอใจ (๘๐%) แต่ไม่สามารถฆ่าสปอร์ได้ ๒. น้ำมันต้นชา (Tea tree oil) ใช้ ๒ ช้อนชาในน้ำ ๒ ถ้วย ใส่ขวดสเปรย์เบาๆ บนบริเวณที่ต้องการแล้วเช็ด เหลือเก็บใส่ขวดเก็บไว้ใช้ได้นาน มีกลิ่นฉุน ฆ่าเชื้อราได้หลายชนิด แต่มีราคาแพง ๓. สารสกัดจากเมล็ดผลไม้ตระกูลส้ม (Grapefruit seed extract) ใช้ ๒๐ หยด ใส่ในน้ำ ๒ ถ้วย ใส่ขวดสเปรย์เบาๆ บนบริเวณที่ต้องการแล้วเช็ดออกได้เลย มีราคาแพง แต่ไม่มีกลิ่น   ตัวอย่างของน้ำยาที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราแบบเข้มข้น ๑.แอลกอฮฮล์ (ethanol, isopropanol) ใช้ที่ความเข้มข้น ๖๐-๙๐% ควรให้ระยะสัมผัสอย่างน้อย ๕-๑๐ นาที ๒.น้ำยากัดผ้าให้ขาว (Clorox bleach) หรือโซเดียมไฮโพคลอไรต์ (sodium hypochlorite) ใช้ที่อัตราส่วน ๑ : ๑๐ สารนี้ส่วนใหญ่จะเป็นที่รู้จักกัน เป็นสารประกอบคลอรีน มีฤทธิ์ในการทำลายเชื้ออย่างกว้างขวาง มีราคาถูก และออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว แต่สารละลาย โซเดียมไฮโพคลอไรต์ เสื่อมสภาพได้เร็ว ดังนั้นจึงควรเตรียมใหม่ทุกครั้งที่จะใช้ การเก็บรักษาให้เก็บในภาชนะที่ป้องกันแสงถ้าเป็นแก้วมักใส่ในขวดสีชา ๓.โฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (hydrogen peroxide) ใช้ที่ความเข้มข้น ๓-๖% แต่การใช้สารนี้ระยะเวลาสัมผัสผิวที่จะฆ่าเชื้อต้องใช้เวลานาน คือ ควรที่จะแช่เอาไว้ ๔.ไอโอโดฟอร์ (Iodophore) ใช้ฆ่าสปอร์ได้ที่ความเข้มข้น ๗๕ ส่วนในล้านส่วน ระยะเวลาสัมผัสผิวที่จะฆ่าเชื้อต้องใช้เวลานานเช่นกัน   อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเชื้อรามีการกระจายอยู่ในอากาศทั่วไป  ดังนั้นนอกจากการกำจัดเชื้อราโดยวิธีดังกล่าวข้างต้นแล้ว การควบคุมเชื้อราอย่างมีประสิทธิภาพต้องดำเนินการร่วมกับการรักษาระดับความชื้นในอาคารบ้านเรือนไม่ให้ชื้นสูงกว่าปกติ ควรให้อากาศได้ระบายถ่ายเท มีการทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศรวมทั้งการรักษาความสะอาดของที่พักอาศัยโดยรวม   ขอขอบคุณข้อมูลจาก มูลนิธิหมอชาวบ้าน