พาณิชย์เตรียม 7 แนวทางแก้ไขปัญหา GSP พร้อมเร่งเจรจาขอคืนสิทธิ

by ThaiQuote, 28 ตุลาคม 2562

กรมส่งเสริมระหว่างประเทศวางมาตรการ 7 ข้อแก้ปัญหาสหรัฐตัด GSP ทางด้านกรมการค้าต่างประเทศจะนำข้อตกลง FTA เข้าแก้ไขปัญหา และเตรียมตัวที่จะเจรจาขอคืนสิทธิฯหลังช่วงการประชุม East Asia Summit

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่สหรัฐฯ ประกาศตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรทางการค้า(GSP)ที่เคยให้กับสินค้าไทยบางรายการเมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมานั้น คาดการณ์ว่า มาตรการดังกล่าวไม่น่าจะกระทบต่อเป้าส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐฯในปี 2562 ที่วางไว้ว่าจะขยายตัว 4% เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่มีคำสั่งซื้อไว้ล่วงหน้าและทยอยส่งมอบไปแล้ว ขณะที่ยอดส่งออก 9 เดือนแรกของปีนี้คิดเป็น 73-75% ของทั้งปี อย่างไรก็ตาม คาดว่าช่วงนี้ผู้นำเข้าจะเร่งซื้อสินค้าก่อนมาตรการจะมีผลบังคับใช้

ทางด้านกรมกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้เตรียมมาตรการรองรับและเพิ่มกิจกรรมหาตลาดทดแทน พร้อมทั้งได้หารือกับภาคเอกชนเพื่อกำหนดตลาดและกิจกรรมด้วยแล้ว เบื้องต้นมี 7 มาตรการรองรับได้แก่
1.เร่งผลักดันการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯช่วงปลายปีนี้จนถึงก่อนมาตรการมีผลบังคับใช้ โดยจะมีกิจกรรมผลักดันในช่วงที่คาดว่าผู้นำเข้าจะเร่งซื้อสินค้าที่จะได้รับผลกระทบการมาเตรียมไว้ก่อน ดังนั้นในช่วงนี้อาจมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฐานการผลิตในไทย ขณะเดียวกันได้มีการคืนสิทธิ/ผ่อนผันตามเกณฑ์จีเอสพีรายสินค้าแก่ไทยจำนวน 7 รายการได้แก่ ปลาแช่แข็ง ดอกกล้วยไม้สด เห็ดทรัฟเฟิล ผงโกโก้ หนังของสัตว์เลื้อยคลาน เลนส์แว่นตาและส่วนประกอบของเครื่องแรงดันไฟฟ้า ซึ่งจะเร่งขยายส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯให้แก่สินค้าเหล่านี้ไปพร้อมกัน
2.เร่งกระจายความเสี่ยง โดยหาตลาดส่งออกให้หลากหลายและแสวงหาตลาดใหม่ให้กับสินค้าที่โดนผลกระทบ โดยได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์เร่งหาตลาด และสำรวจความต้องการของตลาดด้วยการทำหน้าที่เป็นเซลล์แมนขายสินค้าของไทยตามนโยบายของ รมว.พาณิชย์ โดยในช่วงนี้ถึงกลางปี 63 มีแผนงานเร่งด่วนเพิ่มเติมเพื่อบุกตลาดและกระตุ้นให้เกิดความต้องการสินค้าไทยในประเทศเป้าหมายทั่วโลกอาทิ อินเดีย บาห์เรนและกาตาร์ แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น จีน สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป ตุรกี รัสเซีย CLMV ศรีลังกา บังคลาเทศ และอินโดนีเซีย เป็นต้น
3.ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการเกษตร และอาหารแปรรูป โดยใช้โอกาสจากภาวะเงินบาทแข็งค่าไปลงทุนในสหรัฐฯในรูปของสำนักงานขายหรือการแสวงหาเทคโนโลยีทันสมัยเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันหรือในประเทศที่สหรัฐฯมีข้อตกลงการค้าเสรีด้วยอาทิ แคนาดา ชิลี และเม็กซิโก เพื่อใช้สิทธิในการส่งสินค้าเข้าสหรัฐฯ
4.กระชับความสัมพันธ์กับผู้นำเข้าพันธมิตร และเพิ่มความร่วมมือกับผู้นำเข้าขนาดกลาง และ SMEs ในประเทศต่างๆอย่างต่อเนื่องผ่านกิจกรรมต่างๆ
5.สร้างความต้องการสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศเช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมในห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารไทย และกิจกรรมส่งเสริมสินค้าไทยในหลายตลาด
6.เน้นการให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพและมาตรฐานสินค้า พัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรมสอดคล้องกับแนวโน้มของตลาด อีกทั้งการสร้างความเข้มแข็งให้แบรนด์สินค้า และทรัพย์สินทางปัญญาของสินค้า เพื่อสร้างจุดเด่นและความได้เปรียบของสินค้าไทย
7.ผลักดันการค้าผ่าน thaitrade.com ซึ่งเป็นช่องทางการค้าออนไลน์ที่สามารถส่งออกสินค้าไทยคู่ขนานไปกับการค้ารูปแบบเดิม พร้อมกันนี้ได้ร่วมมือกับแพลตฟอร์มของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ โดยจะเปิด Top Thai Flagship Store ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มขายสินค้าของไทยในแพลตฟอร์มต่างประเทศ และในเดือนพ.ย.นี้จะเปิดตัวร่วมกับ TMall Global ในจีน และจะขยายสู่ประเทศสำคัญอื่นๆต่อไป

 

ทางด้านนายกีรติ รัชโน ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมการค้าต่างประเทศ ได้เชิญผู้ประกอบการหารือเพื่อรับทราบสถานการณ์และประเมินผลกระทบหากถูกเพิกถอนสิทธิ GSP อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปี 2561 โดยแนะนำให้ผู้ประกอบการ หาตลาดใหม่ทดแทนตลาดเดิม (Market Diversification) โดยเฉพาะตลาดอื่นๆ ที่มีแนวโน้มเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น รัสเซีย ยุโรปตะวันออก อเมริกาใต้ ตะวันออกลาง ฯลฯ ตลอดจน การใช้ประโยชน์จากประเทศที่ไทยจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี FTA 13 กรอบความตกลง จาก อาเซียน จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี และเปรู ซึ่งผู้ประกอบการสามารถทั้งนำเข้าวัตถุดิบและสามารถส่งออกสินค้าโดยใช้สิทธิพิเศษฯทางภาษีได้จากข้อตกลง FTA รวมทั้ง ขยายการลงทุนไปยังประเทศที่ยังคงได้รับสิทธิ GSP สหรัฐฯ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ซึ่งได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีมากกว่าไทย นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ในการแข่งขัน และปรับเปลี่ยนสร้างมูลค่าเพิ่มตัวสินค้า โดยยกระดับความสามารถด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ตลอดจนการแสวงหาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า มาปรับปรุงสินค้า ศึกษาและทำการวิจัย เพื่อพัฒนา สินค้า ให้มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอแทนการแข่งขันด้านราคาและเพื่อรองรับสถานการณ์ทางการค้าในตลาดโลกที่มีการแข่งขันเสรีได้

ภาครัฐคงต้องดำเนินการเจรจาขอคืนสิทธิฯ โดยเร็วที่สุด โดยคาดว่าจะยื่นขอเจรจากับสหรัฐฯ หลังช่วงการประชุม East Asia Summit ภายใต้การประชุมสุดยอดอาเซียนในประเทศไทยที่กำหนดจะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ รวมทั้งเจรจาภายใต้กรอบความตกลงการค้าและการลงทุนไทย-สหรัฐฯ (Trade and Investment Framework Agreement Joint Council : TIFA-JC) ต่อไป

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ

นายกฯ ชี้ ยังมีเวลาเจรจา จีเอสพี อีก 6 เดือน เผยถูกงดเว้นมานานถึง 9 ปี