“เรื่องน่ารู้การเสด็จเยือนไทยของโป๊ปฟรังซิส”

by ThaiQuote, 22 พฤศจิกายน 2562

การมาเยือนในฐานะราชอาคันตุกะของโป๊ปฟรังซิส เป็นภาพสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของราชอาณาจักรไทยต่อสำนักวาติกันที่มีมาอย่างเนิ่นนาน ถ้านับย้อนไปแล้วอย่างเป็นทางการก็สมัยพระนารายณ์มหาราช หรือกว่า 300 ปีมาแล้ว

นายไพศาล มังกรไชยา ผู้สื่อข่าวอาวุโส ได้ ไลฟ์สด ผ่านเฟซบุ๊ก Thaiquote เรื่อง“เรื่องน่ารู้การเสด็จเยือนไทยของโป๊ปฟรังซิส” (สามารถติดตามการไลฟ์สด มุมมองประเด็นดังของ คุณไพศาล มังกรไชยา ได้เป็นประจำที่ Thaiquote)

วันนี้วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน วันนี้มีราชอาคันตุกะสำคัญที่จะเสด็จเยือนราชอาณาจักรของไทย ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของรัฐบาลไทย สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิสแห่งวาติกัน ผู้นำศาสนจักรโรมันคาทอริกของโลก จะเสด็จเยือนประเทศไทย ในฐานะของแขกราชอาณาจักรไทย ประมาณเที่ยงนี้ก็จะเสด็จถึงสนามบิน บน.6 ดอนเมือง ก็จะมีพิธีต้อนรับกัน ท่านก็มีหมายกำหนดการต่างๆ ทั้งวันที่ 21-22 พ.ย.นี้ ก่อนที่จะเสด็จต่อไปยังประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 23 พ.ย.62

โป๊ปฟรังซิสได้รับการขนานนามว่าเป็น “Pope of the poor” เป็นพระสังฆราชของผู้ยากไร้ ในประวัติการทำงาน ท่านก็ทำเกี่ยวกับผู้ด้อยโอกาสและผู้ยากไร้มาโดยตลอด ยาวนานมาก โดยเฉพาะประเทศอาร์เจนติน่าของท่าน ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีการใช้ชีวิตที่ติดดิน อยู่ที่อาร์เจนติน่าท่านก็ไม่มีรถประจำตำแหน่ง นั่งรถเมล นั่งรถไฟ ที่พักของท่านก็ธรรมดาสามัญ แม้กระทั่งตอนที่ท่านขึ้นเป็นผู้นำวาติกันก็ไม่ได้อยู่ในที่พักของสำนักวาติกัน แต่กลับไปอยู่อพาร์ตเมนต์โดยท่านบอกว่าสะดวกสบายดี สะท้อนถึงความเรียบง่ายและคำนึงถึงคนยากคนจน คนยากไร้ จึงได้รับการขนานพระนามว่า “Pope of the poor”

นี่ถือว่าเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 35 ปีที่ผู้นำศาสนจักรโรมันคาทอริกเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ปี 2527 สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 เคยเสด็จพระราชดำเนินมา เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ปี 2527 และทิ้งช่วงกันมาจนถึงปีนี้ก็ 35 ปี

ครั้งที่ 1 ปี 2527 ท่านโป๊ป จอห์น ปอล มีความมุ่งมั่นที่จะรณรงค์ให้โลกหันมาสนใจผู้อพยพจากพิษภัยสงคราม โดยเฉพาะประเทศไทยในช่วงนั้นก็เกิดสงครามล้างเผ่าพันธุ์ในประเทศกัมพูชา ชาวกัมพูชาอพยพมาตามชายแดนเป็นจำนวนมาก ลำพังประเทศไทยที่ให้ความช่วยเหลือเป็นเรื่องที่หนักมาก ต้องระดมสรรพกำลังจากทั่วโลกมาช่วยเหลือ เพราะพวกนี้อพยพกันมาเป็นล้านๆ โป๊ป จอร์น ปอลที่ 2 ก็มาเยือนเพื่อให้ทั้งโลกได้เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ จากพิษภัยสงครามล้างเผ่าพันธุ์ในช่วงเวลานั้น นอกจากนี้ก็ยังมีความขัดแย้งของชนกลุ่มน้อยในฝั่งเมียนมา ก็ทะลักมาในแนวชายแดนไทย ท่านก็มาเพื่อให้นักข่าวมาโฟกัสกับสถานการณ์นี้

ส่วนครั้งนี้ก็มีหลายปัจจัยที่น่าสนใจ เพราะโป๊ปท่านนี้สนใจเรื่องความยากจน สิ่งแวดล้อม ภารกิจหลายๆ เรื่องก็จะสะท้อนจากสิ่งที่ท่านเคลื่อนไหว อีกเกร็ดความรู้ที่การมาของโป๊ปฟรานซิสคือการครบรอบกว่า 300 ปีของมิสซังสยาม มิสซังคือคณะมิชชันนารีที่มาปักหมุดการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในประเทศไทย ครั้งนั้นยังเป็นสยามหรือกรุงศรีอยุธยาอยู่ นับแล้วกว่า 300 ปี ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ถือเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างสำนักวานิกันและราชอาณาจักรสยามอย่างเป็นทางการ โดยคณะมิชชั่นที่เดินทางมาประกาศศาสนาคริสต์ในประเทศไทยเมื่อ 300 กว่าปีที่ผ่านมานั้นเป็นคณะศาสนทูตจากประเทศฝรั่งเศส ภายใต้การอุปถัมภ์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ตอนนั้นมีเรื่องราวที่มีการสถาปนามิชชังสยามเกิดขึ้นมากมาย

อยากแนะนำให้ไปอ่านหนังสือประชุมพงศวดาลเล่มที่ 50 ภาค 80 จดหมายเหตุฟอร์แบงค์ เป็นจดหมายเหตุพาพวกบาทหลวงมาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ต่อมาก็ได้อยู่กับพระนารายณ์ได้เป็นทหาร อีกเล่มคือจดหมายเหตุลาลูแบร์ที่เป็นทูตตอนสมัยพระนารายณ์ จริงๆแล้วศาสนาคริสต์ โรมันคาทอริก เข้ามาประเทศไทยก่อนหน้านี้มาประมาณ 100 ปีแล้ว แต่มาจากกลุ่มนักบวชโปรตุเกส เป็นพวกเยซูอิส พระมหากษัตริย์ไทยก็พระราชทานที่ดินให้สามารถสร้างโบสถ์ได้ ซึ่งต่อมารู้จักในนามของบ้านโปรตุเกส สามารถรับราชการและประกอบศาสนกิจได้อย่างเสรี

เนื่องจากโปรตุเกสจะมีอาณานิคม เขาจึงให้นักบวชของเขาไปเผยแพร่ศาสนาในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในละแวกนี้ เช่น เวียดนาม อินเดียใต้ ญี่ปุ่น ซึ่งจะมีชาวคริสต์ทั้งในจีนและญี่ปุ่น และในหลายประเทศเขาไม่ได้เปิดให้ปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างเสรีเหมือนกับราชอาณาจักรสยามที่ต้อนรับทุกศาสนา ช่วยกันสร้างบ้านแปลงเมืองประกอบศาสนกิจกันไปโดยเสรี และพระมหากษัตริย์ก็พระราชทานที่อยู่ให้เป็นจุดๆ กันไป รอบๆ กำแพงเมือง แต่ในขณะที่ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่น จีน เวียดนามก็จะถูกดูถูก กลั่นแกล้งจนไม่สามารถอยู่ได้ จึงได้อพยพมาอยู่ที่ประเทศสยามตั้งแต่ก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ตัวอย่างเช่นท้าวทองกีมาที่เป็นลูกครึ่งผสมญี่ปุ่น โปรตุกีส ตอนหลังมาเป็นต้นห้องอาหารหวานในราชสำนักปลายกรุงศรีอยุธยา

อย่างไรก็ตาม ยุคพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ได้ไปล็อปบี้สำนักวาติกันให้การเผยแพร่ศาสนาของชาวโปรตุเกสถือว่าไม่เป็นทางการ แต่การปฏิบัติภารกิจที่สำนักวาติกันรับรองจริงๆ ขอให้เป็นของฝรั่งเศส ซึ่งการเมืองในยุโรปยุคนั้นพระสันตะปาปาต้องยกให้ศาสนทูตของฝรั่งเศสเป็นผู้ปักหมุด อุปถัมภ์โดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เพราะตอนนั้นเขาจะมีการแบ่งกัน สเปนไปดูแลแถวฟิลิปปินส์ โปรตุเกสก็จะอยู่แถวแถบแม่น้ำไข่มุกหรือมาเก๊า พระสันตะปาปาก็จะมอบสิทธิมิชชั่นในการเข้าไปปฏิบัติภารกิจ เผยแพร่ศาสนาคริสต์อย่างเป็นทางการ ถือเป็นตัวแทนจากพระองค์

นี่จึงเป็นที่มาของคริสต์ศาสนาแห่งสยามเกิดขึ้นได้จากการรับรองอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระสันตะปาปา ให้กับบาทหลวงของฝรั่งเศส จึงทำให้เวลาต่อมาคริสต์ศาสนาของประเทศไทยเป็นสายนักบวชของเซนต์คาเบรียล นักบวชกลุ่มนี้ก็ได้มาวางรากฐานทั้งในเรื่องของกิจการโรงเรียน กิจการโรงพยาบาล ทำให้คริสต์ศาสนาประเทศไทยเติบโตขึ้นมา แต่ชาวคริสต์ดั้งเดิมของยุคโปรตุเกสก็ยังอยู่ เขาไปรวมตัวกันอยู่ที่ฝั่งธนบุรีคือแถวกุฎีจีน แต่ทางกลุ่มฝรั่งเศสอพยพมาอยู่ที่แถบกาลาหว่า

แล้วตอนหลังให้กุฎีจีนมารวมกับกาลาหว่าโดยทางกาละหว่าจะดูแลทั้งหมด เพราะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสยาม กรุงศรีอยุธยาแตก แล้วก็มารวมตัวสร้างศาสนจักรในช่วงกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์กันต่อมา