สีกากีเดือด! “วิระชัย” ฟ้อง “จักรทิพย์” กลั่นแกล้ง! สั่งสำรองราชการ ชวดขึ้น ผบ.ตร.

by ThaiQuote, 25 สิงหาคม 2563

เขย่าวงการตำรวจ!! “วิระชัย” ฟ้อง “จักรทิพย์” ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ สั่งสำรองราชการ ปมคลิปเสียงสนทนา คดียิงรถ “บิ๊กโจ๊ก” โอด ทำชวดนั่ง ผบ.ตร.ทั้งที่อาวุโสเป็นอันดับ 1

 

กำลังเป็นประเด็นร้อนในแวดวงสีการกี เมื่อผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ขณะนี้ถูกสั่งสำรองราชการ โดย ผบ.ตร.) ได้มอบหมายให้ นายสัญชัย ทรัพย์เจริญ ทนายความส่วนตัว เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือผู้หนึ่งผู้ใดได้ประโยชน์

โดยคำฟ้อง ระบุว่า จำเลย (พล.ต.อ.จักรทิพย์) เป็นข้าราชการตำรวจในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบข้อบังคับ

 

 

สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 6 ม.ค.63 ได้มีผู้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงใส่รถของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล (บิ๊กโจ๊ก) ซึ่งในขณะนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ไม่ได้อยู่ในราชอาณาจักรไทยและตัวเองนั้นรักษาราชการแทนในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงมีฐานะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนทั่วราชอาณาจักรและมีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมการปฏิบัติราชการทั้งปวงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติแทนจำเลยตามกฎหมาย เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นจนเห็นว่าเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชนจึงเข้าไปควบคุมกำกับดูแลและเร่งรัดการสืบสวนสอบสวนเพื่อให้มีการจับผู้ก่อเหตุให้ได้โดยเร็ว

ต่อมาขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ อยู่ในต่างประเทศได้โทรศัพท์ติดต่อมาหาช่วงเวลาประมาณ 21.30 น. ซึ่งเวลาดังกล่าวกำลังจะเข้านอนแล้ว ไม่สะดวกที่จะจดบันทึกรายละเอียดในการสนทนาเพราะเป็นเรื่องปัจจุบันทันด่วนจึงต้องใช้การบันทึกเสียงแทนการจดบันทึก เพราะเห็นว่ากรณีมีคำแนะนำที่สำคัญและเป็นประโยชน์ที่จะนำไปปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน

จากบทสนทนาดังกล่าว พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้พูดระบายความรู้สึกในใจที่มีต่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ รวมถึงการทำหน้าของตัวเองเรื่องการควบคุมดูแลคดีนี้ ส่วนตัวจึงคิดว่าการสนทนาดังกล่าวไม่เป็นข้อสั่งการทางราชการ เพราะขณะนั้นจำเลยอยู่นอกราชอาณาจักรไทย ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย และบทสนทนาดังกล่าวไม่ใช่ความลับจึงไม่ได้เป็นความลับทางราชการ

แต่ภายหลังจากวันนั้น มีผู้นำคลิปเสียงสนทนาดังกล่าวไปเผยแพร่กับสื่อมวลชนทำให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ไม่พอใจตัวเอง ประกอบกับเป็นช่วงระยะเวลาที่จะมีการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ซึ่งตัวเองนั้นเป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับการแต่งตั้งเพราะโจทก์มีอาวุโสอันดับ 1 และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

แต่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ไม่ต้องการให้ตัวเองได้รับการแต่งตั้งจึงได้ดำเนินการออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยหลายประการ เพื่อให้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือไม่เหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

กระทั่งได้มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีโทรศัพท์สั่งการคดียิงรถ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทำตามคำสั่งมีข้อสรุปว่า มีมูลเพียงพอรับฟังได้ว่าโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งการการกระทำของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ทำให้ตัวเองเสียหายเพราะทำให้ต้องถูกบังคับจากคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเสียสิทธิ์ในการได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพราะถูกสำรองราชการและเกิดความเสียหาย

เนื่องจากการสำรองราชการไม่มีเงินประจำตำแหน่งเหมือนตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และไม่มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและเป็นตำแหน่งที่ รวมทั้งไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรีเท่ากับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและถือเป็นตำแหน่งที่มีไว้สำหรับตำรวจผู้กระทำผิดอาญาอย่างร้ายแรง

การกระทำของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ จึงเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบมาตรา 91

ทั้งนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้คำฟ้องไว้เพื่อตรวจคำฟ้องและนัดฟังคำสั่งว่าจะรับคดีไว้ไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ ในช่วงเช้าวันที่ 8 ก.ย.63

ภาพจาก : กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ

บิ๊กแป๊ะสั่งเช็กตำรวจทั่วไทย "ใครเหลือไม่ถึง 5 พัน/เดือน" ให้เยียวยาทุกทาง