ครม.เห็นชอบ นโยบายพลังงานแห่งชาติ 20 ปี เดินหน้าโรงไฟฟ้าชุมชน

by ThaiQuote, 20 ตุลาคม 2563

 

 

20ปี! ครม.เห็นชอบแผนนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ.2561-2580 เพิ่มการใช้พลังงานทดแทน อนุรักษ์พลังงาน เดินหน้าโรงไฟฟ้าชุมชน เพื่อเศรษฐกิจฐานราก

 

วันที่ 20 ต.ค.63 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแผนนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ.2561 – 2580 ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ประกอบด้วย 5 เรื่อง ดังนี้

1.ร่างแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2561 – 2580 (Alternative Energy Development Plan 2018: AEDP2018) มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาเป้าหมายรวมในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนและทางเลือก เช่น ไฟฟ้า ความร้อน และเชื้อเพลิงชีวภาพ ต่อการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายที่ร้อยละ 30 ในปี พ.ศ.2580 โดยกำหนดเป้าหมายสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศในปี 2580 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 34.23 ซึ่งมากกว่าแผนเดิม (AEDP2015) ที่ตั้งไว้ร้อยละ 20.11 ในปี 2579 เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ มีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 9,290 เมกะวัตต์ จากเดิม 6,000 เมกะวัตต์ พลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ มีกำลังผลิต 2,725 เมกะวัตต์

2.ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ.2561 - 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP 2018 Rev.1) มีประเด็นสำคัญ เช่น การดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ในปริมาณ 700 เมกะวัตต์ โดยมีเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าในช่วงปี 2563 -2567 ปริมาณรวมทั้งสิ้น 1,933 เมกะวัตต์

3.ร่างแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2561 - 2580 (Energy Efficiency Plan 2018: EEP2018) มีเป้าหมายเพื่อ 1)การลดความเข้มการใช้พลังงาน (EI) ลงร้อยละ 30 ภายในปี พ.ศ. 2580 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2553 และ 2)การลดการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ให้ได้ 49,064 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบของปริมาณการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายทั้งหมด เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2553

4.ร่างแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2561 – 2580 (Gas Plan 2018) มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคเศรษฐกิจ เร่งรัดการสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติภายในประเทศ พัฒนาและใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ

5.แผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2563 – 2567 มีเป้าหมายเพื่อ 1)รักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศไม่ให้ปรับตัวรุนแรงในทันที โดยกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในอัตราเดิม คือ 0.1 บาทต่อลิตร ต่อไปอีก 2 ปี สำหรับน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วและน้ำมันดีเซลหมุนช้า เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระประชาชนในเรื่องต้นทุนด้านพลังงาน 2)พัฒนาข้อมูลและระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ และ3)สร้างภาพลักษณ์ที่ดีในการบริการจัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง

นอกจากนี้ ครม. ยังได้รับทราบมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 1 /2563 อีก 5 เรื่อง ได้แก่

1) แนวทางการส่งเสริมพื้นที่ติดตั้งสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station Mapping) โดยกำหนดให้มีสถานีที่เพียงพอสำหรับการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า โดยมีระยะห่างของแต่ละสถานีภายในรัศมีไม่เกิน 50-70 กิโลเมตร

2) การศึกษาอัตราค่าไฟฟ้าและการจัดการระบบจำหน่ายไฟฟ้าสำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้าของยานยนต์ไฟฟ้า โดยใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบคงที่ตลอดทั้งวัน มีค่าเท่ากับ 2.6369 บาทต่อหน่วย สำหรับแรงดันไฟฟ้าน้อยกว่า 22 kV

3) การดำเนินโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการด้านพลังงาน (ERC Sandbox) 4)การกำหนดอัตราส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน

5) การปรับปรุงหลักการและรายละเอียดโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก เช่น โครงการ Quick win ให้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในปี 2563 และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภายใน 12 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า

 

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
กฟผ.ผนึกภาคีเครือข่ายผู้ผลิตไฟฟ้าลดก๊าซเรือนกระจกซื้อขายพลังงานหมุนเวียน