เอสซีจี ยกโมเดล โรงปูนทุ่งสง วิวัฒนาการ ESG 4 Plus สร้างฝายสู่สร้างคน

by ThaiQuote, 26 กันยายน 2566

ถอดรหัส เอสซีจี ผู้นำธุรกิจยั่งยืนต้นแบบ อันดับ 1 ของโลกและในอาเซียน การเดินทางที่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ สร้างฝายชะลอน้ำ ธุรกิจคู่ชุมชน และสิ่งแวดล้อม สู่การถอดบทเรียน การสร้างคน ธุรกิจ ร่วมมือกันรักษาสิ่งแวดล้อม สร้างโลกสมดุล

 

 

 

การก้าวขึ้นเป็นองค์กรยั่งยืนไม่ได้ เปลี่ยนกันได้ข้ามวันหรือข้ามปี แต่เป็นการวางแผนเดินทางยาวนาน ที่มีกลยุทธ์บริหารจัดการความเสี่ยงภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง จากโครงการบริการจัดการน้ำรอบโรงงงาน จุดเล็กๆ แนวคิดของวิวัฒนาการด้านความยั่งยืนที่เป็นผู้นำในภูมิภาค และในระดับโลก ถูกยอมรับผ่านการจัดอันดับจากมาตรฐานด้านความยั่งยืน ด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจร้อยเรียง ห่วงโซ่ ESG 4 Plus มุ่ง Net Zero–Go Green–Lean เหลื่อมล้ำ–ย้ำร่วมมือ


ล่าสุดในปี 2566 ดัชนีความยั่งยืนดาวน์โจนส์ หรือ DJSI( Dow Jones Sustainability Indices) เอสซีจี ได้รับคะแนนสูงสุด กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง มีคะแนนอันดับ 1 ของโลก 10 ปี และคะแนนสูงสุด 3 อันดับแรกของโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 14 และเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน 10 ปี ถือเป็นองค์กรแรกในอาเซียนที่เป็นสมาชิก DJSI ตั้งแต่ปี 2547 ก่อนหน้านี้ เอสซีจีได้รับการประเมินจาก 2 ดัชนีความยั่งยืนชั้นนำระดับโลก ได้แก่ ESG Risk Ratings ระดับ ESG Industry Top Rated กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมจาก Morningstar Sustainalytics และ MSCI ESG Ratings ระดับ AA กลุ่มอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างจาก Morgan Stanley Capital International (MSCI) ซึ่งทั้ง 3 ดัชนีความยั่งยืนนี้ นักลงทุนทั่วโลกใช้เป็นข้อมูลประกอบการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นใจในผลตอบแทนระยะยาว และสะท้อนถึงธุรกิจที่เติบโตแข็งแกร่ง ควบคู่กับการพัฒนาสังคม สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

 

 

 

นางวีนัส อัศวสิทธิถาวร ผู้อำนวยการ สำนักงานแบรนด์ เอสซีจี เปิดเผยถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ให้สอดคล้องกับยุค Green Economy ว่า SCG วางกลยุทธ์ ESG 4 Plus “มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ โดยยึดหลักเชื่อมั่น โปร่งใส” เพื่อเดินสู่เป้าหมาย บรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 ด้วยการพัฒนากระบวนการผลิตสีเขียว ควบคู่กับการผลิตสินค้าใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีนวัตกรรมกรีน เช่น ปูนสูตรคาร์บอนต่ำ นวัตกรรมรักษ์โลก ลดการใช้ทรัพยากร


พร้อมกันกับการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วยการฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และเร่งลดเหลื่อมล้ำสังคม พัฒนาทักษะอาชีพแก่ชุมชนและผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ ช่วยให้คนเลิกแล้ง เลิกจนกว่า 2 แสนคน เพื่อร่วมส่งต่อโลกที่น่าอยู่สู่คนรุ่นต่อไป


สำหรับเอสซีจี ทุ่งสง ถือเป็นหนึ่งตัวอย่างความมุ่งมั่นเดินหน้า ESG 4 Plus ทั้งในกระบวนการผลิตและร่วมมือกับชุมชนโดยรอบอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นโอกาสดีในการเปิดบ้านเยี่ยมชมกลุ่มธุรกิจเอสซีจี

 

เปิดบ้านเอสซีจี”ทุ่งสง”
ฐานการผลิตใช้พลังงงานสะอาด 50%

 


นายชัยยุทธ ไพฑูรย์ ผู้อำนวยการโรงงานปูนทุ่งสง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ทุ่งสง) จำกัด กล่าวว่า เอสซีจี ทุ่งสง ดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ ESG 4 Plus มุ่งเน้นกระบวนการผลิตสีเขียว (Green Process) มาโดยตลอด ปัจจุบัน ติดตั้งโซลาร์ฟาร์ม โซลาร์ลอยน้ำ นำลมร้อนเหลือทิ้งกลับมาใช้ใหม่ (Waste Heat Generator) รวมทั้งใช้เชื้อเพลิงทดแทนจากขยะชุมชน และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ต้นปาล์ม ต้นยางพารา ขี้เลื่อย ซึ่งทั้งหมดนี้รวมเป็นสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดมากกว่า 50% ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 6 แสนตันต่อปี อีกทั้ง ยังใช้รถบรรทุกหินปูนไฟฟ้า (EV Mining Truck) ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและฝุ่น PM 2.5

 

 

 

 

600ฝาย เปลี่ยนดินแล้งสู่การสร้างอาชีพ

นอกจากการพัฒนาในพื้นที่โรงงานทุ่งสงให้เป็นสีเขียวแล้ว ยังขยายผลไปสู่การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชนรอบโรงงาน ให้ร่วมมือกันฟื้นฟูแหล่งน้ำ

นางสาวจุรีพร อยู่พัฒน์ ผู้ประสานงานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำชุมชนทุ่งสง กล่าวว่า ในอดีตภาคใต้เคยเกิดภัยแล้งนานกว่า 5 เดือน ต้นไม้ยืนต้นตาย ไม่มีน้ำกิน น้ำใช้ ชุมชนจึงร่วมหาทางออก ด้วยการเรียนรู้การบริหารจัดการน้ำ และอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าต้นน้ำกับเอสซีจีในโครงการรักษ์ภูผา มหานที นำความรู้จากการไปดูงานที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ มาสร้างฝายชะลอน้ำกว่า 600 ฝาย โดยปรับให้เหมาะกับสภาพพื้นที่ที่กระแสน้ำไหลแรง ช่วยเปลี่ยนชีวิตดีขึ้น มีน้ำเพียงพอสำหรับในชีวิตประจำวัน และทำการเกษตรเลี้ยงชีพได้มั่นคง ทั้งยังถ่ายทอดความรู้การจัดการน้ำ 3 ขั้นตอน ฟื้นฟู-กักเก็บ-สำรอง ไปยังคนรุ่นใหม่และตำบลใกล้เคียง


นางสาวขวัญฤทัย ยึดมั่น ประธานวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวฅนต้นน้ำบ้านวังไทร กล่าวว่า เมื่อบ้านเรามีน้ำและเข้าร่วมโครงการพลังชุมชน ของเอสซีจี ได้เรียนรู้การเพิ่มมูลค่าสินค้า ทำให้เราเห็นโอกาสใหม่ ๆ จากการพลิกวิธีคิด สร้างมูลค่าจากสิ่งของที่มีอยู่ในชุมชน ด้วยความเข้าใจตัวเอง-ลูกค้า-ตลาด จนกลายเป็นของดีประจำชุมชน มัดใจลูกค้า อาทิ ผัดหมี่ปักษ์ใต้ เครื่องแกงชาววัง ยำมะมุด และข้าวกรอบรสต้มยำกุ้ง จากนั้นต่อยอดสู่การท่องเที่ยวอนุรักษ์ 9 จุดมหัศจรรย์ ป่าชุมชนคนต้นน้ำวังไทร มอบประสบการณ์ล้ำค่าใกล้ชิดธรรมชาติ เช่น เดินป่าฝ่าดงไผ่ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ ร่วมทำฝายชะลอน้ำและปลูกต้นไม้ ล้อมวงกินข้าวในอ้อมกอดป่า โดยมีคนในชุมชนเป็นพี่เลี้ยง อีกทั้ง ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้เยาวชน นักศึกษา มาดูงานด้านการแปรรูป เพิ่มมูลค่าสินค้าด้วย”

 

 

 

 วังขรี ชุมชนต้นแบบจัดการขยะ

 


นางสุจิตรา ป้านวัน ประธานกลุ่มชุมชนวังขรีวิถียั่งยืน ที่ปรึกษากลุ่มเยาวชนยิ้มแฉ่งให้ด้วยใจ กล่าวว่า หมู่บ้านเราไม่มีถังขยะหน้าบ้าน เพราะขยะมีคุณค่าและสร้างประโยชน์ได้มากกว่าที่คิด สามารถสร้างรายได้จากการนำมาแยกและขายเพื่อรีไซเคิล เช่น กระดาษ ขวดแก้ว ขวดพลาสติก ส่วนเศษอาหารนำมาทำปุ๋ยหมักและอาหารสัตว์ ขณะที่ ขยะทั่วไปที่เผาไหม้ได้ นำไปขายให้เอสซีจี แล้วผ่านกระบวนการจนกลายเป็นเชื้อเพลิงทดแทน แรก ๆ เป็นเรื่องยาก แต่พอหมั่นลงพื้นที่ เริ่มจากคนสนิทสู่คนในชุมชน และทำให้ดูเป็นตัวอย่าง พอทุกคนเห็นว่าทำได้จริง จึงเกิดเป็นความร่วมมือจัดการขยะ เชื่อมสัมพันธ์ชุมชน และต่อยอดเป็นแหล่งเรียนรู้ให้ผู้ที่สนใจสร้างชุมชน Like (ไร้) ขยะ”


“เอสซีจี พร้อมเดินหน้า ESG 4 Plus ในทุกพื้นที่ที่เอสซีจีดำเนินงาน เร่งเปลี่ยนสู่พลังงานสะอาด พัฒนานวัตกรรมเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ชวนชุมชนรักษ์โลก สร้างอาชีพด้วยความรู้คู่คุณธรรม ลดเหลื่อมล้ำ ขยายความร่วมมือในวงกว้าง เพื่อร่วมสร้างสังคมคาร์บอนต่ำยั่งยืน” นางวีนัส กล่าวสรุป