‘สมคิด’ ย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุน ‘จีดีพี-ส่งออก’ สดใส

by ThaiQuote, 22 มิถุนายน 2560

ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี   ปาฐกถาพิเศษ งานสัมมนาผู้ลงทุนในตลาดทุนระดับนานาชาติ "Thailand Big Strategic Move" เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติ กองทุนต่างชาติ 20 กองทุนมาร่วมรับฟังนโนยบายจากรัฐบาล ด้วยการย้ำว่า เมื่อเอเชียเริ่มส่องแสง ไทยจึงเป็นหนึ่งในเอเชีย เป็นหัวใจแห่งเอเชีย  และเมื่อจีนประกาศนโยบาย one belt one road  ไทยจึงโดดเด่นเพราะอยู่บนเส้นทางเชื่อมระหว่าง one belt บนแผ่นดินใหญ่กับ maritime silk road ทางทะเล    เมื่อรัฐบาลมุ่งนำประเทศกลับคืนสู่ความสงบ การเมืองไปสู่การเลือกตั้งในปีหน้าตามรัฐธรรมนูญ  และความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่าในปีนี้จีดีพีเติบโต ร้อยละ 3.5 หรือสูงกว่า การส่งออกเติบโตเป็นเลขสองหลัก เพราะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวและความเชื่อมั่นเริ่มดีขึ้น  หนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 45 ในช่วง 5ปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิเฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนเฉลี่ยร้อยละ 7 ไตรมาสหนึ่งของปีนี้ มีกำไรสุทธิรวมสูงถึง  300,000 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 21 จากปีที่ผ่านมา ขณะที่ขนาดตลาดรวมมีขนาดถึงร้อยละ 122 ของจีดีพี ไทยจึงถือเป็นสวรรค์ของการลงทุนที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ ส่วนค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องอาจกระทบต่อการส่งออกนั้น ธปท.ดูแลอย่าใกล้ชิด แต่จะใช้เงินทุนสำรองแทรกแซงมากเกินไปคงไม่ได้เพราะอาจทำให้ขาดทุนจำนวนมาก จึงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ดร.สมคิด กล่าวย้ำต่อนักลงทุนว่า เมื่อไทยต้องการเป็นศูนย์กลางด้านต่างๆ จึงเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจ ทั้งการพึ่้งพา  Export led growth สู่ balanced growth economy มาสู่การเติบโตอย่างสมดุล พึ่งพาปัจจัยภายนอก เช่น การลงทุนและการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ และยังเน้นการสร้าง local economy ทั้งการผลิต การตลาด การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในภูมิภาค ด้วยการสร้างความเข้มแข็งในชนบท การสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจ  ด้วยการนำงบประมาณกระจายสู่กลุ่มจังหวัดและสู่ท้องถิ่นโดยตรง ผ่านความร่วมมือ 3 ฝ่ายระหว่างรัฐ เอกชนและชุมชน “ประชารัฐ”   เพื่อสร้างสมดุลโดยไม่ต้องพึ่งพิงปัจจัยภายนอก การพัฒนาจาก low cost สู่ value based economy  การสร้างมูลค่าด้วยนวัตกรรมด้วยวิทยาการ ด้วยการค้นคว้าวิจัย และการคิดสร้างสรรค์ ผลักดันให้เกิด cluster การผลิตระหว่างรัฐ เอกชน ผู้ประกอบการสถาบันศึกษา และสถาบันวิจัย เพื่อเป็นบ่อเกิดแห่งนวัตกรรม ผ่านมาตรการการจูงใจทางภาษีให้ภาคเอกชนหันมาลงทุนใน R&D  ในขณะนี้งบลงทุนใน R&D ของประเทศให้มีสัดส่วนร้อยละ 1 เป็นอย่างน้อยใน 2 ปีข้างหน้า ส่งเสริมการค้นคว้าวิจัยเป็นตัวนำการผลิต   การพัฒนาแบบ jump start โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งของประเทศ หลังจากหยุดชะงักไปนานกว่า 20 ปี จนทำให้ไทยอยู่ในระดับท้ายสุดในเอเชีย    ไทยกลับมาประกาศการลงทุนครั้งใหญ่ ด้วยวงเงินลงทุนกว่า 2.4 ล้านล้านบาท ในโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ ทั้งการสร้างถนน ทางด่วน มอเตอร์เวย์ โครงการรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง การสร้างและพัฒนาสนามบินท่าเรือและสถานีขนส่งสินค้า ครอบคลุมช่วงระยะ 5 ปีข้างหน้า ผ่านแหล่งเงินทุน 4 แหล่ง คือ งบประมาณ แหล่งเงินกู้ยืม การร่วมลงทุนกับเอกชนแบบ PPP fast track ผ่านการสร้างรถไฟฟ้า 5 เส้นทาง คือ สายสีเขียว น้ำเงิน ส้ม เหลือง และชมพู และภายในปีนี้ เริ่มเปิดประมูลอีก 3 เส้นทาง คือ ม่วงใต้ ส้มตะวันตก และสีแดง  และในช่วง 2 เดือนข้างหน้า จะสรุปผลการประมูลรถไฟทางคู่อีก 5 เส้นทาง และมอเตอร์เวย์อีก 2 เส้น  เพื่อเริ่มลงทุนภายในปีนี้ สำหรับเส้นทางรถไฟไทย-จีน คาดว่าจะเริ่มได้ช่วงกันยายน โครงการ 1.8 แสนล้านบาท ส่วนดังกล่าว 1.4 แสนล้านบาท ไทยดำเนินการเอง และพัฒนารอบเส้นทางรถไฟฟ้า จึงไม่มีส่วนใดมอบให้กับจีนอย่างแน่นอน ที่ดินของไทย ใครมาร่วมลงทุนได้ ไม่ใช่ยกให้กับจีน ตามหลักการของเจรจาแบบ G/G ในการกำหนดราคากลางต้องต่อรองระหว่างรัฐต่อรัฐ และแก้ไขเฉพาะจุด เพื่อต้องการขยายเส้นทางต่อไปยังหนองคาย และเชื่อมต่อไปยังมาเลเซีย และก่อนสิ้นปีเส้นทางรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพ-ระยอง กรุงเทพ-หัวหิน และเส้นทางรถไฟฟ้า จ.ภูเก็ต  ลงทุนแบบ PPP fast track เมื่อผ่านการพิจารณาจาก ครม. ทุกโครงการเริ่มต้นก่อนปลายปีหน้า นอกจากนี้กระทรวงการคลังเตรียมการจำหน่ายหน่วยลงทุน Thailand future Fund  ในล็อตแรกเกิดขึ้นไตรมาส 3-4 ของปีนี้ จำหน่ายให้ทั้งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน เป็นทางเลือกในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อรักษาระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่ให้เกินระดับร้อยละ 50 เพื่อประหยัดงบประมาณ เพื่อขับเคลื่อนภายใน 5 ปี รัฐบาล ยังมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต เช่น อาหารแห่งอนาคต อาศัยเกษตรเป็นพื้นฐาน ยานยนต์แห่งอนาคต และอิเล็กทรอนิกส์ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ศูนย์กลางสุขภาพ ศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ศูนย์กลางการบินแห่งภูมิภาค ด้วยการจัดพื้นที่ 3 จังหวัดเบื้องต้น เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเฉพาะใน EEC กว่า 4 แสนล้านบาท นอกจากนักลงทุนจีน ญี่ปุ่น และตะวันตกมาลงทุนเพิ่มเติม รัฐบาลยังเตรียมก้าวสู่ยุคดิจิทัล โดยจัดสรรงบประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท เพื่อติดตั้ง Internet broadband กว่า 24,000 หมู่บ้านในปีนี้  และอีก 2 หมื่นหมู่บ้านในปีหน้า  เพื่อส่งเสริมชนบท พัฒนาการศึกษา สาธารณสุข การค้าผ่าน e-commerce จากชนบทสู่โลก   การลงทุนวางระบบเคเบิ้ลใต้น้ำ กว่า 5 พันล้านบาท เพื่อให้ไทยยกระดับการเชื่อมต่อกับต่างประเทศ International gateway ของภูมิภาคในอนาคต วางระบบได้ในสิ้นปีหน้า ขณะนี้ญี่ปุ่นได้ลงนามหลายฉบับระหว่างไทยกับเมติ เพื่อร่วมพัฒนาใน EEC เพื่อส่งผ่านกระบวนการผลิตไปสู่ดิจิทัล และเชื่อมต่อทั้งหมดผ่าน Big Data เ หากนักลงทุนยังล่าช้าอาจจะตกขบวนได้ นอกจากนี้ยังเน้นการเชื่อมโยงเชื่อมโยงกับกลุ่ม CLMV เพราะการร่วมมือกับเพื่อนบ้านเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งกลุ่มอนุภูมิภาคเติบโต จะทำให้ไทยได้รับความสนใจมากขึ้น ทั้งการสร้างพลังร่วมของการท่องเที่ยว การจัดทำพัฒนายุทธศาสตร์ร่วมกัน ไปสู่อนุภูมิภาคอื่น และการเชื่อมโยงไทยเข้ากับ one belt one road ของจีน  ด้วยการการเชื่อม EEC ผ่านเส้นทางรถไฟเข้ากับเส้นทางรถไฟไทยจีน เชื่อมจากจีนสู่เวียงจันทร์ผ่านไทยไปยังช่องแคบมะละกาของมาเลเซีย ตลอดจนการร่วมผลักดันเขตการค้าเสรีใหม่ ทั้งกลุ่ม RCEP ซึ่งไทยมีข้อตกลง FTA กลุ่มประเทศเหล่านี้ ขณะที่กลุ่มประเทศ TPP ญี่ปุ่นได้ขอเป็นแกนนำแทนสหรัฐ

Tag :