เช็คกันหน่อย! อาการ “ตับ” ไม่ดีเป็นอย่างไร

by ThaiQuote, 15 พฤษภาคม 2559

อาการเริ่มแรกที่ต้องคอยระวังก็คือ อย่าปล่อยให้ตัวเองมีอาการอ่อนเพลียง่าย หากมีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ คลื่นไส้, อาเจียน, ปัสสาวะมีสีเข้ม, อุจจาระเป็นสีเทา และภาวะตัวเหลือง ถ้าเจอปรากฏอาการดังกล่าว  แสดงว่าร่างกายส่งสัญญาณเตือนว่า“ตับ”มีปัญหา ต้องรีบปรึกษาแพทย์ ตรวจหาความผิดปกติอย่าได้รีรอ

             ขณะเดียวกันยังมีอาการอื่น ๆที่แสดงออกมาให้สังเกตได้ง่าย เริ่มต้นจากดวงตา  หากตาเหลืองอาจเป็นเพราะเลือดมีปริมาณบิลิรูบิน (Bilirubin) มากเกินไป จากการที่ตับทำงานได้ไม่สมบูรณ์  2. ตาขาวมีเส้นเลือดปรากฏอย่างชัดเจน แม้จะไม่ได้ใช้งานสายตามากเลยก็ตาม 3. มีน้ำตาคลอตลอดเวลาโดยไม่ได้เกิดจากความรู้สึกใด ๆ หรือไม่มีสิ่งแปลกปลอมมาทำให้ดวงตาระคายเคือง

              ในส่วนของใบหน้า หากมีหน้าตาหมองคล้ำ ไม่ผ่องใสอาจเป็นเพราะตับทำงานได้ไม่เป็นปกติ ไม่สามารถขับสารพิษ โดยเฉพาะหากมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาระหว่างคิ้วหรือขมับ  รวมไปถึงอาการที่หลอดเลือดดำใต้โคนลิ้นมีลักษณะคล้ำผิดปกติ โป่งพอง หรือคดงอผิดรูป อาจเป็นไปได้ว่าระบบหมุนเวียนเลือดกำลังมีปัญหา

              อันดับถัดมาคือผิวหนัง หากมีอาการผิวบอบช้ำง่าย  ผิวแห้ง คันตามเนื้อตามตัวแสดงว่าตับมีปัญหา จึงทำให้ระบบการหมุนเวียนของเลือดมีปัญหาด้วยเช่นกัน  โดยรวมไปถึงอาการมีเลือดออกง่ายผิดปกติด้วยจุดต่อไปซึ่งสังเกตได้ง่าย คือเล็บ หากเปราะหักง่ายแสดงว่าร่างกายเราอาจได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอไปด้วย โดยตับเองก็มีหน้าที่ช่วยคัดกรองสารอาหารเพื่อป้อนเข้าสู่ร่างกายอีกที ดังนั้นผู้ป่วยโรคตับอาจมีอาการเล็บเปราะ หักง่ายด้วย

อีกอาการที่สามารถสันนิษฐานว่าตับมีความผิดปกติคือ อาการปวดท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย เนื่องมาจากระบบเผาผลาญทำงานผิดปกติ ประสิทธิภาพการทำงานของตับลดลง และอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในท่อน้ำดีและมะเร็งตับได้  หรือในบางคนพบอาการท้องโต เท้าบวม  ซึ่งถือเป็นสัญญาณอันตราย ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้ชัดเจน

              นอกจากนี้ยังมีอาการขี้หลง ขี้ลืม ไม่มีสติ ซึ่งก็อาจเกี่ยวข้องกับโรคตับได้เช่นกัน เนื่องจากมีสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายจนเลือดไหลเวียนไม่ดี ออกซิเจนที่มีในร่างกายก็น้อยลง ส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่อบุคลิกภาพและการดำเนินชีวิตในบางส่วน 

               อย่างไรก็ตามอาการที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นเพียงอาการเบื้องต้นที่ส่อถึงการที่ “ตับ” มีปัญหาเท่านั้น แต่หากจะให้ดีก็ควรจะเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกครั้ง หรือเมื่อมีอาการแล้วก็ควรจะไปพบแพทย์เพื่อการตรวจร่างกายที่ชัดเจนอีกครั้ง