ปลดล็อคความกังวลฟื้นความเชื่อมั่นประเทศ (ตอนที่ 2)

by ThaiQuote, 7 ธันวาคม 2558

เว็บไซด์ thai Quote นำเสนอเรื่องราวบทปาฐกถา ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่กล่าวไว้ในงานกาลาดินเนอร์ที่ถูกจัดขึ้นโดยวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 2552 ในหัวข้อเรื่อง “รุก – รับอย่างไรให้เศรษฐกิจไทย.....สู้ได้ในเวทีโลก”ไปแล้วหนึ่งตอนเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากการนำคณะเดินทางไปเยือนยังประเทศญี่ปุ่น เรียกว่ามีเหตุการณ์สำคัญ ๆที่ล้วนแล้วเป็นประโยชน์ต่อการค้าการลงทุนในประเทศไทยแทบทั้งสิ้น ก่อนจะมาจบลงที่งานสัมมนาของหอการค้า ซึ่งจัดขึ้นที่จ.อุดรธานี โดยหอการค้าจากทั่วประเทศ จนนำไปสู่ปฏิญญาอุดรฯที่จะนำพาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้โตถึงเป้า 4 %   

                จากนี้ไปสาระสำคัญของปาฐกถาจะเป็นอย่างไรต่อ ไปจับสาระกันในตอนที่ 2  

ทั้งหมดนี้นี่ผมต้องการที่จะบอกว่าหากพวกเรามีความกังวลในประเทศไทย ผมอยากให้ทุกท่านนั้นคลายความกังวลไปบ้าง เศรษฐกิจของเรานั้นจริงอยู่ในปีที่ผ่านมามันค่อนข้างที่จะอ่อนแรง แต่การที่เราเข้าไปทุ่ม 3 เดือนนี้พวกของกระผมมีความคิดอยู่ก่อนแล้วว่าเราต้องทำอะไร 10 ปีที่แล้วเราเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ธุรกิจล้มระเนระนาดเกือบทั้งประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจรายใหญ่ทั้งหลาย ในห้องนี้ยังมีนักธุรกิจรายใหญ่ผมเชื่อเลยว่า 10 ปีที่แล้วเป็น NPL เกือบทั้งหมดแต่เราผ่านสิ่งเหล่านี้มาทั้งหมด 10 ปี กลับมาเข้มแข็งอีกครั้งหนึ่ง ฉะนั้นเรารู้ว่าประสบการณ์เหล่านั้นนี่ความเชื่อมั่นลดลงเพราะอะไร การฟื้นคืนความเชื่อมั่นนั้นต้องทำด้วยวิธีอะไร การที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้มันดีขึ้นนั้นต้องทำอย่างไรถึงจะเร็ว ฉะนั้นความคิดมันมีอยู่ในสมองอยู่แล้ว

แล้ว 3 เดือนที่ผ่านมานั้นท่านก็ต้องแปลกใจทำไมมาตรการถึงออกได้เร็วขนาดนั้น แล้วเมื่อออกมาแล้วในไตรมาส 3 GDP นั้น 2.9 % ดีกว่าไตรมาส 3 ของปีที่แล้วซึ่งมีเพียง 0.9 % แล้วเริ่มโผล่หัวจากไตรมาส 2 ซึ่งโตประมาณ 2.8 % อยากจะเรียนให้ท่านทราบเลยว่า 2.9 % นี่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของเรายังลงไปไม่ถึงเลยทั้งหมด กองทุนหมู่บ้านเพิ่งจะลงไปได้ประมาณ 50,000 ล้านในช่วงเดือนนี้ ในขณะที่อสังหาริมทรัพย์เพิ่งจะออกมาตรการไปและเพิ่งจะออกผลในขณะนี้ ฉะนั้นไตรมาส 4 นั้นถ้าไม่มีเกิดเหตุการณ์อะไรในเศรษฐกิจโลกผมเชื่อมั่นว่ามันจะดีขึ้น แล้วมันจะดีขึ้นต่อไปในไตรมาส 1ของปีหน้า แล้วพอมาถึงไตรมาส 2 ไตรมาส 3 นโยบายการลงทุนขนาดใหญ่ของประเทศจะเริ่มออกมาได้แล้ว พรุ่งนี้ (3 ธ.ค.)ผมจะไปเร่งที่กระทรวงคมนาคมทุก ๆโครงการขนาดใหญ่ผมจะไปเร่งด้วยตัวเอง ฉะนั้นผมมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะค่อย ๆดีขึ้นแม้ว่ามันจะโตไม่ทันใจแต่เนื่องจากเศรษฐกิจโลกนั้นยังไม่ดีการที่จะโตสวนกระแสนั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบากมาก แต่ความมั่นใจเรามีและจะพยายามให้ถึงที่สุดนะครับ

อนาคตข้างหน้ามันขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีฐานะอย่างไรในการแข่งขันในโลกของเรา สิ่งที่เราฝันไว้ว่าเศรษฐกิจจะพุ่งขึ้นมาเป็นเครื่องหมายไนกี้นะครับ ผมอยากมองเห็นว่า GDP Growth เป็นเครื่องหมายไนกี้ มันจะเป็นจริงหรือไม่นั้นอยู่ที่ว่าเราจะรุกและรับในเวทีโลกนั้นอย่างไร พูดง่าย ๆก็คือว่าเศรษฐกิจไทยนั้นจะสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลกนั้นในความเห็นส่วนตัวของผม ซึ่งอาจจะผิดจะถูกมันอยู่ที่ปัจจัย 3 ประการ ปัจจัยแรกเลยที่ว่าสำคัญที่สุดเลยคือสถานภาพทางการเมืองของประเทศไทยในเวทีโลก ปัจจัยข้อนี้ในฐานะที่เคยผ่านงานการเมืองมา 6 ปีเต็มเมื่อสมัย 10 ปีที่แล้ว เรารู้ว่าประเทศที่มีสถานภาพทางการเมืองที่อ่อนแอหรือว่าขาดการยอมรับนับถือจากชาวโลกจะเป็นประเทศที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในโลกข้างหน้านั้นได้อย่างยากเย็นที่สุด ประเทศที่จะแข่งขันได้นั้นต้องเป็นประเทศที่มีบทบาทในเวทีโลก พูดอะไรแล้วเสียงดัง พูดอะไรแล้วมีคนฟัง เจรจากับใครแล้วเขาจะยอมเจรจาด้วย อันนั้นเป็นสิ่งที่ยากมาก ไม่ใช่ของง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศไทยในขณะนี้ ซึ่งโชคไม่ดีที่เราจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่เนื่องจากเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ท่านทราบมั้ยว่า 10 ปีที่ผ่านมาเมื่อปี 2549 อินเด็กซ์ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจของเรานั้นนี่ถือว่าอยู่ที่จุดพีคเลย ตัวเลขมหภาคดี แต่จากวันนั้นเป็นต้นมาการเมืองไม่มีเสถียรภาพ สังคมไม่สงบ ประเทศไทยเหมือนกับเสียเวลาไป 10 ปีเต็ม ๆ ในขณะที่ประเทศอื่นนั้นก้าวไปข้างหน้า เรากลายเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นคนป่วยของเอเซียแต่ ณ ขณะนี้คนป่วยคนนี้กำลังเข้มแข็งขึ้นและจะแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆผมมั่นใจอย่างนั้น

ปาฐกถาของดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ยังไม่จบแถมกำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ อดใจไว้ตามกันต่อในตอนหน้าซึ่งเป็นตอนสุดท้าย รับประกันว่ามีสาระที่สำคัญมากมาย