ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี “Startup” ประเทศไทยสู่ 4.0

by ThaiQuote, 5 พฤษภาคม 2559

ผ่าโครงสร้างประเทศไทยจาก 1.0-4.0  

พวกเราคงได้ยินท่านนายกรัฐมนตรีพูดถึงเรื่องประเทศไทย 4.0 เป็นการเปรียบเทียบถึงพัฒนาการประเทศจากขั้นหนึ่งไปอีกขั้นหนึ่ง ประเทศไทย 1.0 เริ่มต้นพัฒนาโดยการส่งออกสินค้าเกษตรกรรมไปต่างประเทศ ไม้สัก ดีบุก ยางพารา มาสู่ประเทศไทย 2.0 คือการพัฒนาสู่อุตสาหกรรม เริ่มจากอุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้า ขยายเป็นการส่งออกเพื่อนำเงินตราต่างประเทศเข้ามา จากจุดนั้นพัฒนาเป็น 3.0 เน้นการผลิตอุตสาหกรรมวิทยาการเพื่อการส่งออก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ปิโตรเคมี ชิ้นส่วนต่างๆ ประเทศไทยยุค 3.0 ถือเป็นยุคที่เราประสบอะไรหลายอย่าง จากการเติบโตของจีดีพีปีละ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ มาสู่เหตุการณ์วิกฤติการเงินต้มยำกุ้ง มาสู่ยุคเปลี่ยนแปลงการเมืองปี 2549 ยุคเศรษฐกิจโลกวิกฤติปี 2551 กระทั่งมาถึงยุคปัจจุบันซึ่งผมเรียกว่าการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ในยุค 4.0 ผมต้องการให้เด็กไทยเดินเส้นทางวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น เริ่มต้นด้วยการจัดงาน Staetup Thailand 2016 กระตุ้นให้คนไทยรู้ว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสตาร์ทอัพคืออนาคตของประเทศไทย

 

ต่างชาติยกย่องไทยคือเกตเวย์ของอาเซียน

                ผมคิดว่าขณะนี้สถานการณ์ทางการเมืองค่อนข้างนิ่ง สถานการณ์ทางเศรษฐกิจก็เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น  สัญญาณบวกเริ่มมี การส่งออกกำลังฟื้นตัว ถ้ารวมทองคำและน้ำมัน ไตรมาส 1 บวก 0.9 นับเป็น 1 ใน 25 ประเทศที่การส่งออกเป็นบวก ในขณะที่อีก 20 กว่าประเทศติดลบหมด ไม่ได้หมายความว่าเราเก่งกว่าเขา แต่ความหลากหลายของสินค้าส่งออกของเรามีมากเพียงพอ สามารถทดแทนกันได้ อันนี้ไม่ดี อันนั้นดี ทำให้เราประคองตัวได้ ท่ามกลางการทรุดตัวของเศรษฐกิจโลก ในขณะที่ภาคการลงทุน สัญญาณบวกแรงมาก การลงทุนจากต่างประเทศไตรมาส 1 สูงจริงๆ  มากกว่าไตรมาส 1 ปีที่แล้วหลายเท่าตัว แม้การขอรับการส่งเสริมการลงทุนจะยังไม่ใช่การลงทุนจริง แต่เป็นสัญญาณว่าความมั่นใจมาแล้ว คณะผู้บริหารของแอร์เอเชีย ประเทศมาเลเซีย มาพบผม และไปพบท่านนายกรัฐมนตรี เขาบอกว่าประเทศไทยเป็นเกตเวย์ที่แท้จริงของอาเซียน ไม่มีอะไรที่จะหยุดการเติบโตของอาเซียนได้ เมื่อเกิดเออีซีจะเกิดการเชื่อมต่อการท่องเที่ยว และเมืองไทยคือฮับการบินที่แท้จริงของอาเซียน เขาบอกกับนายกรัฐมนตรีว่าจะเข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ของแอร์เอเชียในเมืองไทย และอาจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯของเราด้วย เขายังสนใจลงทุนสร้างสนามบินในภูมิภาคสำหรับสายการบินโลว์คอสต์แอร์ไลน์อีกด้วย โดยมองว่าคนอาเซียนส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง มีรายได้ไม่มากนัก แต่อยากท่องเที่ยว เขาจึงต้องการสร้างจุดเชื่อมการท่องเที่ยวจากหลายๆเมืองใหญ่ของอาเซียนเพื่อป้อนคนเข้ามาสู่เมืองไทย โดยร่วมมือกับสายการบินของไทย นี่คือเจตนาของเขา   บริษัทหัวเหว่ยก็กำลังจะมาตั้งสำนักงานใหญ่ในเมืองไทย พวกเขากำลังทยอยกันมา ผมถึงเรียนว่าถ้าคนไทยไม่ทำร้ายตัวเอง อนาคตข้างหน้าสดใสแน่นอน

 

เดินหน้าเมกะโปรเจ็กต์รับสัญญาณบวก

การลงทุนภาครัฐบาล ผมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงไปจี้ด้วยตัวเอง โครงการรถไฟฟ้าคลี่ออกมาเป็นสายๆ ตอนนี้ออกมาแล้ว 3 สาย สายที่4 กำลังจะออกมา สายต่างๆเปิดประมูลภายในปีนี้  โครงการภาครัฐจะต้องไหลออกมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่การบริโภคไม่ได้เลวร้ายลง การท่องเที่ยวปีที่แล้ว 30 ล้านคน โตเป็นประวัติการณ์ ปีนี้โต 10-20% นี่คือสิ่งที่บ่งบอกว่า ณ ไตรมาส 1 ก้าวไปสู่ไตรมาส 2 สัญญาณดีขึ้น ผมไม่ได้บอกว่าเศรษฐกิจดีขึ้น แต่สัญญาณเป็นบวกแล้ว

                ผมเกิดในเยาวราช สมัยก่อนไม่มีเตาแก๊ส ใช้เตาถ่าน เวลาไฟเริ่มคุกรุ่นขึ้นมา มันจะเริ่มติดที่ถ่าน หน้าที่คุณคือต้องค่อยๆโบกให้ติดจนกระทั่งลุกเป็นไฟ นั่นแหละคือการบริหารเศรษฐกิจของผม เป็นประสบการณ์ในชีวิตจริงว่าการทำอะไรต้องค่อยเป็นค่อยไป พัดแรงไปขี้ไต้จะดับ พัดเบาไปไม่ติด สัญญาณกำลังจะดีขึ้น แต่ต้องไม่ประมาท ต้องวางพื้นฐานเพื่อการพัฒนาไปสู่อนาคต นี่คือเรื่องใหญ่ พวกผมต้องวางพื้นฐานเอาไว้ ไม่ว่ารัฐบาลชุดไหนมาแทนที่ก็ต้องเดินสายนี้ ถ้าไม่ทำสิ่งเหล่านี้ประเทศลำบากแน่นอน

 

ปรับฐานการเกษตรสร้างจีดีพีแท้จริง

ถ้าเรามองอัตราการเติบโตของจีดีพี 15 ปีย้อนหลัง ประมาณปี 2545-2548 ช่วง 3 ปีนี้จีดีพีโตประมาณ 6-7% พอมาในช่วง 2549-2550 ขยับลงมาเหลือ 4-5% ปี 2550-2551 เหลือประมาณ 0.1 ตอนนั้นเริ่มมีวิกฤติเศรษฐกิจที่อเมริกา มาถึงช่วง 3 ปีสุดท้ายที่ผ่านมา ประมาณ 0-2% ปีสุดท้ายประมาณ 2.8% ถ้าดูอย่างนี้  เปรียบเทียบจีดีพีเฉลี่ย 15 ปี ประมาณ 4% กว่าๆ ถ้า 10 ปีเฉลี่ย 3%กว่าๆ ถ้า 5 ปีเหลือแค่ 2%กว่าๆ ไม่ใช่เพราะการเมืองอย่างเดียว แต่เป็นเพราะว่าโครงสร้างเศรษฐกิจของเรามีปัญหา ความไม่เท่าเทียมกันขยายห่างขึ้นเรื่อยๆ ภาคที่แข็งแรงคือภาคอุตสาหกรรม ขณะที่ภาคเกษตรเตี้ยลงเรื่อยๆ สิ่งแวดล้อมเสียหาย ปีก่อนน้ำท่วม ปีนี้แล้ง ถ้าเราปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปอนาคตเมืองไทยมีปัญหาแน่นอน

ท่านนายกรัฐมนตรีจึงให้เร่งฟื้นฟูภาคการเกษตร ที่ผ่านมาค้ำจุนด้วยการการันตีราคา เหมือนกับเตี้ยอุ้มค่อม เมื่อเลิกจำนำก็ร่วง การจำนำก็เหมือนการสร้างจีดีพีปลอม ซึ่งไม่ใช่การเติบโตที่แท้จริง เหมือนกับเอาเงินให้เขา ไม่มีความเข้มแข็งที่แท้จริง ฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลนี้พยายามทำคือปรับเปลี่ยนใหม่ ช่วยเหลือภาคการเกษตรด้วยการสร้าง Productivity เพิ่มมูลค่าสินค้าทั้งระบบ หาตลาดให้เขา ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถแก้ไขได้ภายใน 1-2 ปี เพราะเรื้อรังมาเป็นสิบปี แต่เราพยายามเริ่มต้นขึ้นมา เปลี่ยนวิธีการทำเกษตร พัฒนาเป็น Smart Famer ฉะนั้นถ้าใครมาบอกว่าเกษตรกรกำลังลำบาก ยังมาพูดเรื่องประเทศไทย 4.0 ยังมาจัดงานสตาร์ทอัพ ไทยแลนด์ มันคนละเรื่องกัน เป็นการพูดของคนที่ไม่รับผิดชอบ ไม่มีสติปัญญา

 

ประเทศไทย4.0 ยุคขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

แม้ว่าที่ผ่านมาภาคอุตสาหกรรมของเราจะเข้มแข็ง แต่เราปล่อยแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ความสามารถทางการแข่งขันจะถดถอยลงเรื่อยๆ อนาคตส่งออกของไทยจะสู้คู่แข่งได้ต้องมีนวัตกรรม นั่นคือการลงทุนในเรื่องงานวิจัยและพัฒนา ลงทุนเทคโนโลยี แต่เมืองไทยมีกี่บริษัทที่ลงทุนเรื่องเหล่านี้ ต่างมองว่าเป็นค่าใช้จ่ายส่วนเกิน แล้วนั่งภาวนาว่าเมื่อไหร่ค่าเงินบาทจะอ่อน การส่งออกจะได้ดีขึ้น นี่คือสิ่งที่ต้องเปลี่ยน การแข่งขันในโลกยุคใหม่ต้องแข่งขันด้วยนวัตกรรม เราจึงต้องสร้างผู้ประกอบการใหม่ หรือ SMEs ที่ยืนได้ด้วยตัวเอง มีความคิดสร้างสรรค์ คือสตาร์ทอัพนั่นเอง ใช้ไอทีเป็นตัวขับเคลื่อน เรากำลังลงทุนระบบอินเตอร์เน็ตทั่วประเทศ ปีนี้หมื่นกว่าล้าน เพื่อสร้างสตาร์ทอัพให้ขับเคลื่อนพร้อมกัน จากร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น จากหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ เกษตร อาหาร ท่องเที่ยว บริการ ฯลฯ ซึ่งประเทศอื่นไม่มี ถ้าเราสามารถสร้างสตาร์ทอัพเหล่านี้ได้ นั่นแหละคือฐานที่แท้จริง สตาร์ทอัพเกษตรไม่ได้หมายความว่าไปนั่งปลูกข้าว แต่ต้องเอาข้าวมาแปรรูปขายผ่านอีคอมเมิร์ซทั่วโลก จากธุรกิจเล็กๆก็จะเริ่มเติบโตมีสาขาทั่วโลก

 

Food Innopolis เมืองนวัตกรรมอาหาร

                ท่านนายกรัฐมนตรีบอกผมว่า งานสตาร์ทอัพ ไทยแลนด์ 2016 ที่จัดขึ้นมาน่าชื่นใจมาก แต่สตาร์ทอัพอีกกลุ่มหนึ่งที่อยากให้ช่วยเหลือคือกลุ่มสตาร์ทอัพในจตุจักร เขาก้าวมาจากธุรกิจเล็กๆ เริ่มต้นด้วยตัวเอง ทำสินค้าศิลปวัฒนธรรมจนส่งออกได้ด้วยตัวเอง ต้องพยายามหาทางช่วยเหลือพวกเขาให้เติบโตมากยิ่งขึ้น นี่แหละคือสตาร์ทอัพในความหมายของรัฐบาลนี้ เรากำลังสร้างสิ่งที่เรียกว่า เมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) นำธุรกิจอาหารมาอยู่ด้วยกัน ประกอบไปด้วยธุรกิจขนาดใหญ่อย่างน้อย 7-8 บริษัท สตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย เพื่อสร้างอาหารแห่งอนาคตไปแข่งกับตลาดโลก เป็นครัวสู่โลกที่แท้จริง นอกจากกลุ่มอาหารจะขยายไปในกลุ่มเกษตร อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ฯลฯ

 

โซเชียล เอ็นเตอร์ไพรส พี่เลี้ยงของชุมชน

                ในช่วงเลิกจากการเมือง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ผมทำงานร่วมกับภาคเอกชน รู้ว่าฐานของประเทศไทยที่แท้จริงอยู่ในชนบท เราจึงขับเคลื่อนลงไปข้างล่าง เปิดตัวโซเชียล เอ็นเตอร์ไพรส ก่อตั้งโดย 76 จังหวัดถือหุ้นร่วมกัน เป็นพี่เลี้ยงช่วยเหลือเศรษฐกิจฐานราก ช่วยเหลือชุมชนให้เข้าถึงการจัดระบบบริหารและปัจจัยการผลิต การพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมการตลาด การประชาสัมพันธ์ ด้วยความโปร่งใส มีธรรมาภิบาล 5 จังหวัด (ภูเก็ต เพชรบุรี อุดรธานี เชียงใหม่ บุรีรัมย์) เรากำลังสร้างความสมดุลของระบบเศรษฐกิจไทยแลนด์ 4.0 ใครมาเป็นรัฐบาลสามารถสานต่อได้จากจุดนี้