สช.เปิดเวที เมิน “การุณยฆาต” หนุนสิทธิ “ตายตามธรรมชาติ”

by ThaiQuote, 25 เมษายน 2562

แพทย์ ชี้ “การุณยฆาต” ไม่จำเป็น เผยมาตรา 12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติปี 50 ดูแลรักษาแบบประคับประคองคือคำตอบ แนะเขียน Living Will ความต้องการในวาระสุดท้ายของชีวิต เลือกได้! ตายแบบมีความสุข

นนทบุรี – 25 เม.ย.62 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดเสวนา สช.เจาะประเด็น “เร่งตาย vs เลือกตาย สิทธิในวาระสุดท้าย ใครกำหนด?” ณ ห้องโถงชั้น 6 อาคารสุขภาพแห่งชาติ จ.นนทบุรี เพื่อให้ข้อมูลทางเลือกการตายที่แตกต่างกันในวาระสุดท้ายของชีวิต สะท้อนการจากไปอย่างมีศักดิ์ศรี ให้ความรู้ความเข้าใจในการใช้สิทธิมาตรา 12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ 2550 พร้อมการดูแลรักษาแบบประคับประคอง (Palliative care)

นพ.วิทวัส ศิริประชัย หรือจ่าพิชิต ขจัดพาลชน แอดมินเพจ Drama-addict ให้ข้อมูลว่า หลังจากข่าวชายไทยเข้ารับการการุณยฆาตที่ต่างประเทศ ทางเพจได้ทำโพลออนไลน์สอบถามความคิดเห็นต่อเรื่องดังกล่าว ซึ่งผลสำรวจพบว่า 95% จากกว่า 5 หมื่นความคิดเห็น นั้นเห็นด้วยกับการการุณยฆาต


โดยมีข้อสังเกตว่าผู้แสดงความคิดเห็นยังไม่รู้จักวิธีการรักษาแบบประคับประคอง หรือ Palliative care ซึ่งเชื่อว่าหากคนไทยเข้าใจเรื่องนี้ จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยระยะสุดท้ายสู่การตายอย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องไปถึงการุณยฆาตซึ่งคือกระบวนการเร่งการตาย

แอดมินเพจดัง ระบุด้วยว่า สื่อต่างๆ จำเป็นต้องมีส่วนในการนำเสนอเรื่องของ Palliative care ให้คนรู้จักมากขึ้น ซึ่งแม้แต่สื่อบันเทิงอย่างละครนั้นก็สามารถทำได้ เพราะคนไทยดูละครกันมาก ในต่างประเทศก็มีการนำเสนอประเด็นนี้ผ่านภาพยนตร์มาแล้วมากมายหลายเรื่อง

“ทั้งการุณยฆาต และ Palliative care ต่างมีเป้าหมายนำไปสู่การตายอย่างมีศักดิ์ศรี ต่างกันที่การุณยฆาตเป็นการเร่งกระบวนการตาย ส่วน Palliative care เป็นการจัดการให้การเข้าสู่วาระสุดท้ายเป็นไปตามธรรมชาติอย่างราบรื่นที่สุดเท่าที่จะทำได้” จ่าพิชิตกล่าว

ด้าน ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส กรรมการที่ปรึกษาด้านสิทธิสุขภาพของ สช. จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า สิทธิการตายที่มีกฎหมายรับรองทั่วโลกมี 2 แบบหลัก ได้แก่ แบบธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั่วโลกให้การรับรอง และแบบเร่งรัด หรือขอตายก่อนเวลา เช่น กรณีผู้ป่วยไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดต่อไปได้จึงร้องขอให้แพทย์ทำการุณยฆาต โดยปัจจุบันมีไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่มีกฎหมายรับรองให้สามารถกระทำได้อย่างถูกต้อง

สำหรับประเทศไทย “การตายตามธรรมชาติ” มี พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 12 รับรอง โดยให้สิทธิทุกคนสามารถทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตได้ (Living Will) กรณีนี้ถือว่าเป็นการใช้สิทธิเลือกตายอย่างสงบ โดยปราศจากการเหนี่ยวรั้งด้วยเครื่องมือต่างๆ ซึ่งไม่ใช่การเร่งตายแบบการุณยฆาต


และกฎหมายยังรับรองว่าแพทย์ที่ทำตามหนังสือแสดงเจตนาฯ ของผู้ป่วยไม่มีความผิดใดๆ โดยผู้ป่วยสามารถทำหนังสือแสดงเจตนาฯ ในขณะที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน โดยส่งสำเนาเก็บในเวชระเบียนหรือมอบให้แพทย์ผู้รักษาไว้ และเมื่อเลือกที่จะใช้สิทธิการตายตามธรรมชาติ ผู้ป่วย ครอบครัว และแพทย์ จำเป็นต้องวางแผนร่วมกันที่จะดูแลแบบประคับประคอง เพื่อให้ผู้ป่วยในวาระสุดท้ายมีความสะดวกสบายและพ้นจากความทรมานมากที่สุด

“การเร่งตาย ประเทศไทยไม่มีกฎหมายรองรับการทำให้ตายเร็วขึ้น ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ที่ดีหรือไม่ก็ตาม ทางกฎหมายถือว่าผู้กระทำมีเจตนาฆ่าทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงเข้าข่ายความผิดต่อชีวิตคือการพยายามฆ่าทุกกรณี” ศ.แสวง กล่าว

ฟาก ศ.นพ.อิศรางค์ นุชประยูร คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สิทธิแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาฯ ตามมาตรา 12 นั้นดีต่อทุกฝ่ายและสามารถทำได้ทุกคน จากประสบการณ์ตรงที่เคยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยที่ขอรับการการุณยฆาตในสหรัฐอเมริกามักจะเป็นผู้ที่มีอาการปวดรุนแรงจนทนไม่ได้ รักษาไม่หาย โดยส่วนใหญ่เป็นโรคที่ยังมีสติ แต่ร่างกายพิการ ใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก และมีความเครียดสูง


“แม้สังคมอเมริกันจะมีความเคารพสิทธิซึ่งกันและกันสูง แต่การขอทำการุยฆาตก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ผู้ป่วยจะต้องผ่านการประเมินทั้งจากทีมแพทย์ ทีมจิตแพทย์ ทีมจริยธรรม เพื่อให้แน่ใจว่าการร้องขอไม่ได้เป็นไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ และอาการป่วยก็ไม่มีแนวทางการรักษาอื่นแล้วจริงๆ เพราะหากยังมีแนวทางรักษาได้ ทีมแพทย์ก็จะโน้มน้าวให้ไปรักษาทางอื่นแทน” ศ.นพ.อิศรางค์ กล่าว

ทางด้าน ดีเจพี่อ้อย-นภาพร ไตรวิทย์อารีกุล นักจัดรายการและโค้ชชีวิต กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าการตายดีคือการเลือกเผชิญวาระสุดท้ายของชีวิตอย่างสงบและมีศักดิ์ศรี ในขณะที่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่รู้สึกผิดหวัง จึงเห็นด้วยกับแนวคิดการดูแลแบบประคับประคอง เพราะเป็นทางเลือกที่ให้สิทธิผู้ป่วยตัดสินใจเลือกวาระสุดท้ายของตัวเองโดยไม่ยื้อและไม่รั้งชีวิต อีกทั้งยังเป็นทางเลือกที่ไม่ทำร้ายจิตใจของญาติหรือครอบครัวผู้ป่วยจนเกินไป


“แนวทางนี้คือการไม่ยื้อและไม่รั้งชีวิต หากแต่ดูแลรักษาและร่วมกันประคับประคองผู้ป่วยโดยที่ต่างฝ่ายต่างมองเห็นหัวใจของกันและกัน คือความสุขสุดท้าย ซึ่งเวลาที่เหลืออยู่จะนานแค่ไหนไม่สำคัญ เพียงก่อนจากกันขอให้มีความสุขที่สุดก็พอ” พี่อ้อย-นภาพร กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทั่วโลกรวมใจ สร้าง “เมืองสุขภาวะ” เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน