เครือข่ายกะเหรี่ยง ขอรัฐเร่งหาคนฆ่า ‘บิลลี่’ วอนเยียวยาครอบครัว

by ThaiQuote, 4 กันยายน 2562

เครือข่ายกะเหรี่ยงและชาวเลในประเทศไทยออกแถลงการณ์ 4 ข้อ ขอบคุณฝ่ายทำงานพิสูจน์ความจริง เร่งดำเนินการให้ความเป็นธรรม เผาบ้าน-ขับไล่ ให้เคารพอำนาจศาลที่คุ้มครองชาวกะเหรี่ยงบางกลอย เยียวยาครอบครัวบิลลี่


เครือข่ายกะเหรี่ยงและชาวเลในประเทศไทย ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ที่ โรงแรมไมด้า ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯกรณีการเสียชีวิตของบิลลี่ “นายพอละจี รักจงเจริญ” ฉบับที่ 1 โดยระบุหัวแถลงการณ์ว่า รัฐต้องเร่งหาฆาตกรและผู้อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมมาลงโทษ สร้างความเป็นธรรม คุ้มครองความปลอดภัย และเยียวยาครอบครัวของบิลลี่

ด้านเนื้อหาแถลงการณ์ระบุว่า ‘ตามที่คณะกรรมการคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ร่วมกันแถลงข่าว เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2562 ยืนยันว่าสารพันธุกรรมชิ้นส่วนกระดูกที่พบใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน ตรงกับนางโพเราะจี รักจงเจริญ มารดาของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยงที่ถูกอุ้มหายไปตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2557 นับเป็นเวลากว่า 5 ปี 5 เดือน จากการพิจารณาสถานที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานแวดล้อมอื่นประกอบ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษเชื่อว่า ชิ้นส่วนกระดูกดังกล่าวเป็นของ “นายพอละจี รักจงเจริญ” หรือ “บิลลี่” ที่ถูกนำมาเผาทำลายเพื่ออำพรางคดี กรมสอบสวนคดีพิเศษระบุว่า แม้ว่าจะยังไม่ทราบวิธีการที่ทำให้นายพอละจี รักจงเจริญเสียชีวิต แต่พฤติการณ์ของผู้กระทำการดังกล่าวเข้าข่ายลักษณะเป็นการฆาตกรรมโดยทรมาน และการบังคับบุคคลให้สูญหายที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ

เครือข่ายกะเหรี่ยงและชาวเลในประเทศไทย ซึ่งร่วมประชุมเพื่อผลักดันมติคณะรัฐมนตรี 2 มิถุนายน 2553 และ 3 สิงหาคม 2553 ให้มีผลเชิงปฏิบัติในการปกป้องและคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ณ สถานที่แห่งนี้ จึงร่วมแถลงท่าทีและมีข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้

1. เราขอขอบคุณและเป็นกำลังใจกับเจ้าหน้าที่ คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ที่ทุ่มเททำงานด้วยความมานะอุตสาหะจนสามารถพิสูจน์ยืนยันวัตถุพยานหลักฐานสำคัญประกอบการสอบสวนคดีอุ้มหาย และสามารถระบุได้ว่า “นายพอละจี รักจงเจริญ” หรือ “บิลลี่” เสียชีวิตแล้ว อันจะไปสู่การดำเนินคดี และการคืนความเป็นธรรมให้แก่ครอบครัว ชุมชน รวมถึงเครือข่ายกะเหรี่ยงที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งนี้

2. จากความคืบหน้าของการพิสูจน์พยานหลักฐานดังกล่าว เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โปรดเร่งรัดดำเนินการสืบสวน สอบสวนและจับกุมผู้กระทำผิดรวมถึงผู้ที่มีส่วนทั้งหมดมาดำเนินคดีโดยเร่งด่วน รวมถึงให้มีการดำเนินคดีผู้กระทำผิดและผู้เกี่ยวข้องในกรณีการวางเพลิงเผาทรัพย์ชุมชนบ้านใจแผ่นดิน-บางกลอยบน จำนวนมากกว่า 100 หลังคาเรือน รวมทั้งบ้านปู่คออี้ ซึ่งไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการใด ๆ เลย

3.เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 2 มิถุนายน 2553 และ 3 สิงหาคม 2553 ในการคุ้มครองวิถีชีวิตชาวเลและกะเหรี่ยง อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ตามคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดกรณีสิทธิชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมบ้านใจแผ่นดิน-บางกลอยบน ซึ่งนายพอละจี รักจงเจริญเป็นผู้ประสานงานการฟ้องร้องดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจนได้รับชัยชนะในคดีศาลปกครองสูงสุด

4. เราขอเรียกร้องให้ประเทศไทยบัญญัติกฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และกฎหมายว่าด้วยการกระทำทรมานและการบังคับให้หายสาบสูญ ตามหลักสากลของสหประชาชาติว่าด้วย อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับซึ่งรัฐบาลไทยได้ลงนามแล้ว เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2555 แต่ยังไม่ได้เข้าเป็นภาคีจึงไม่มีสภาพบังคับอย่างใด

เครือข่ายกะเหรี่ยงและชาวเลในประเทศไทย จะได้ติดตามความคืบหน้ากรณี นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ“บิลลี่” ถูกอุ้มหายจนพบหลักฐานสำคัญว่าเขาได้เสียชีวิตไปแล้วอย่างโหดเหี้ยม ให้ได้รับเป็นความธรรมโดยเร่งด่วน ทั้งการนำคนผิดมาลงโทษ การคืนความเป็นธรรม เยียวยาครอบครัวและออกกฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิให้เกิดขึ้นโดยเร็วต่อไป.


จากนั้น เครือข่ายกะเหรี่ยงและชาวเลในประเทศไทย ได้เดินทางไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เพื่อแสดงความขอบคุณความคืบหน้าของคดีและยื่นหนังสือ โดย พ.ต.ท. กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นผู้รับมอบ


ข่าวอื่นที่น่าสนใจ

"แอมแนสตี้ฯ" จี้ หาตัวฆาตกรฆ่า "บิลลี่" มาลงโทษให้ได้