จากอาบอบนวดสู่สภา เปิดเส้นทางชีวิต “เต้ มงคลกิตติ์”

by ThaiQuote, 5 ตุลาคม 2562

กองบรรณาธิการ ThaiQuote

หากจะเอ่ยว่า ในบรรดานักการเมืองที่ขึ้นชื่อว่าร้อนแรงที่สุดในยุคนี้ ชื่อที่อาจจะถูกบรรจุเข้าสารบบดังกล่าวหากไม่ปรากฏว่าเป็น "มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์" ก็คงจะผิดเพี้ยนเกินไปนัก สำหรับการที่จะไม่ให้ราคากับชายหนุ่มคนนี้่ได้


เพราะถึงแม้สังคมจะ "หยี" หรือ "แหว่ะ" กับนักการเมืองหนุ่มคนนี้ในฐานะส.ส.บัญชีรายชื่อจากพรรคไทยศรีวิไลย์ หรือแม้แต่บรรดาสื่อมวลชนสายการเมือง หรือสายไหนก็ตามที่มีโอกาสได้ข้องแวะกับ "เต้ มงคคลกิตติ์" และสบประมาทว่าก็แค่คนคุยโตโอ้อวดต่างๆ ฝีมือจะมากเท่าไหร่เชียว

แต่ไม่อาจปฏิเสธที่จะเล่นข่าวความเคลื่อนไหวของเจ้าตัวได้เลย

เพราะบ่อยครั้ง "มงคลกิตติ์" เลือกอุดปากคนที่ด่าทอเขาด้วยการ "ทำงาน" และ "แอบลงพื้นที่" อย่างลับๆ เพื่อแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน ความนิยมปนความเกลียดชังของเจ้าตัวก็เริ่มพอกพูนขึ้นมารักษาความสมดุลกัน

ไล่เรียงมาบนถนนสายการเมืองของ "มงคลกิตติ์" หากนับตั้งแต่วันที่ประกาศจะสมัครส.ส. และประสบความสำเร็จจนได้ดั่งใจหมายเป็นผู้ทรงเกียรติในสภา ความดุเดือดบนเส้นทางการเมือง ฝีปากที่จัดจ้านขึ้นทุกวัน การเปิดศึกด่ากราดไปถึงรัฐบาลที่ครั้งหนึ่งเจ้าตัวก็เคยร่วมชายคาในเวลาเดือนเศษ ก่อนผันตัวออกมาเป็นฝ่ายค้านอิสระ และได้ตำแหน่งล่าสุดเป็น "กรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร" ดูจะใหญ่โตทีเดียวในฐานะส.ส.เลือดใหม่ของเมืองไทย


บนพฤติกรรมทุกอย่างของเจ้าตัว มันออกดอกผลิผลทำให้สังคมต้องจับตามอง และ ThaiQuote ไม่พลาดที่จะเอาตัวส.ส.ที่น่าจะโด่งดังอีกคนในชั่วโมงนี้ มาพูดคุยทำความรู้จัก และแสวงหามุมที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักตัวตนเขามากเท่าไหร่

นอกไปจากการคุยโต เป็นนักเลงสมัยเรียน เจ้าชู้ เกเร และสิ่งใดกันที่พลิกผันเจ้าตัวให้มาทำงานรับใช้ "ประชาชน"

เราพบ "เต้ มงคลกิตติ์" ที่หมู่บ้านหรูแห่งหนึ่งย่านนนทบุรี ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเป็นบ้านของภรรยา มาดรีแล็กซ์สบายๆ ยิ้มแย้มแจ่มใสและดูเป็นกันเองส่งต่อมายังพวกเราในทันที ก่อนที่จะเริ่มคำถามแรก ถึงที่มาบนถนนการเมืองของเจ้าตัว และมันทำให้เราต้องตื่นเต้นตามไปทุกตัวอักษรที่กลั่นออกมาเป็นคำพูดของส.ส.วัย 38 ปีคนนี้

ชีวิตการเมืองเริ่มที่ “อาบ อบ นวด”
"ผมเริ่มชีวิตการเมืองเมื่อตอนเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นประทับใจกับการเปิดตัวของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ในฐานะหัวหน้าพรรครักประเทศไทย เมื่อราวปี 2546 ผมตัดสินใจเดินไปหานายชูวิทย์ที่อาบอบนวดเลย ตอนนั้นที่ทำการพรรคเขาอยู่ที่อาบอบนวด บอกเขาไปว่าขอทำงานด้วย จะหาสมาชิกพรรคให้ ผมกว้างขวาง เพื่อนเยอะ เขาก็ประทับใจเลยบอก 'น้องคนนี้มันส์ดีนะ' แถมเขายังให้บัตรวีไอพีกับผมมาด้วย" แค่คำตอบแรกของมงคลกิตติ์ ก็ทำให้เราเกิดความสนใจไม่น้อย และทำให้เห็นที่มาว่าเขาเริ่มต้นงานการเมืองกับชูวิทย์ ชายที่เขาเรียกว่า "พี่"

ชีวิตนับจากนั้นเหมือนหยุดชะงักเอาไว้บนเรื่องของการเมืองสำหรับมงคลกิตติ์ ก่อนเจ้าตัวจะยังชีพด้วยตำแหน่งอาจารย์ และที่ปรึกษาทางกฎหมายให้กับใครหลายคน รวมถึงองค์กรอื่นๆ แต่ในหลักคิดการในตรวจสอบเรื่องต่างๆ และการติดตามการเมืองก็ยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจ และเมื่อสบโอกาสจึงเป็นจังหวะดีที่เขาได้เข้ามาทำงานการเมืองอย่างเต็มตัว

แต่กระนั้น ก็น่าจะเป็นช่วงจังหวะก่อนที่จะมาเป็นส.ส.เต็มตัว กับงานต่างๆ ที่เขาได้เข้าไปช่วยเหลือบุคคล จนนำไปสู่ของสะสมที่ฮือฮานั่นคือ “พระเครื่อง” ซึ่งมีมูลค่านับกว่าร้อยล้านบาท มงคลกิตติ์บอกถึงประเด็นนี้เมื่อเราถามถึงที่มาของพระเครื่องว่า ส่วนใหญ่ทำประโยชน์ให้เขา รักชอบพอกัน เขาก็ให้มา ทำบุญมา อาจารย์ท่านก็ให้มา เก็บมานานเป็น 10 ปี ส่วนที่ว่าไปทำอะไรเขาถึงให้พระราคาสูงขนาดนี้ ผมคงไปทำความดีมามั้ง ส่วนใครจะวิจารณ์ยังไงมันเรื่องของเขา ผมเป็นคนรักพวกพ้อง ช่วยใครก็ช่วยจริง คนรักก็มีเยอะ


ถึงเวลาตรวจสอบ “ทหาร”

อย่างที่เกริ่นเอาไว้ข้างบนว่า อีกหนึ่งหน้าที่ของ “มงคลกิตติ์” คือ การเป็นกรรมาธิการทหารของสภาผู้แทนฯ ซึ่งเป้าหมายการทำงาน ของตัวเองที่บอกไว้คือ “ต้องการตรวจสอบทหาร” 


“ตอนนี้กำลังเสนอตั้งอนุกรรมาธิการตรวจสอบการทุจริตด้านทหาร เพราะทหารก็มีค่าคอมมิชชั่นเหมือนกับหน่วยงานอื่นๆ แต่เป็นหน่วยงานที่ปกปิดตรวจสอบยาก ผมจะทำให้หน่วยงานทหารเป็นหน่วยงานที่สามารถตรวจสอบได้เหมือนกับหน่วยงานราชการทั่วไป ผบ.เหล่าทัพ แม่ทัพภาคก็ ต้องเปิดเผยมากขึ้น ทำอะไรโปร่งใสมากขึ้น แต่งบลับผมจะไม่ยุ่ง”

ส่วนอีกประเด็นที่ไม่ถามคงไม่ได้ เพราะอาจจะมีความ “น้อยใจ” เข้ามาเกี่ยวข้อง ถึงทำให้มงคลกิตติ์ แปรเปลี่ยนจากการอยู่กับพรรคร่วมรัฐบาล ถอยห่างออกมาเป็นฝ่ายค้านอิสระ ซึ่งเจ้าตัวก็เปิดเผยให้ฟังว่า การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ก็มีหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาล เขาไม่ได้บอกให้อยู่ฝ่ายรัฐบาลหรือให้อยู่ฝ่ายค้าน ส.ส.เป็นตัวแทนปวงชนชาวไทยที่เกิดจากการเลือกตั้งมาทั่วประเทศ ทำอะไรที่เป็นประโยชน์สูงสุดเราเลือกอันนั้น และอีกอย่างหนึ่ง ส.ส.มากำหนดกฎเกณฑ์กันเองว่าเป็นฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล ตอนเลือกนายกรัฐมนตรี ก็เป็นเรื่องที่จบไปแล้ว ตอนนี้ล้างไพ่หมดแล้ว ส.ส.ทุกคนมีหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุล อะไรถูกว่าไปตามถูก อะไรผิดว่าไปตามผิด ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามมติวิป ถ้าทำตามมติวิปก็ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะ ส.ส.มีเอกสิทธิ ว่ากันไปตามเหตุและผล

“ไม่ได้น้อยใจใคร สมมุติว่าเราต้องเชื่อมติวิป ถามว่าประชาชนได้อะไร และมติวิปมักมีเรื่องของนายทุนครอบงำอยู่ ผมทำหน้าที่ส.ส.ที่แท้จริงในสภา ไม่ต้องฟังใคร ฟังตามข้อมูล ข้อเท็จจริงของเรา วิปรัฐบาลผิดรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว รวมถึงวิปฝ่ายค้านด้วย ไปอ่านกฎหมายดู มันทำไม่ได้ ผมทำตามกฎหมาย แต่ที่ผ่านมามันไม่ทำตามกฎหมายกันมันเลยเกิดปัญหา” ส.ส.มงคลกิตติ์ ฉายภาพการตัดสินใจครั้งสำคัญของตัวเองบนถนนการเมือง


นิยาม “ส.ส.” ตามสไตล์ ‘ผลประโยชน์’เป็นเรื่องที่จับต้องได้

มงคลกิตติ์ เล่าถึงงานการเมืองของตัวเอง และนิยามของคำว่าส.ส.ไว้อย่างน่าสนใจว่า ส.ส.นั้น มักถูกคนมองในเรื่องของ "ผลประโยชน์ส่วนตัว" เป็นหลัก แต่สำหรับตนเอง หากนโยบายของส.ส.นั้น มันมีประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อสาธารณะ แม้ว่าตัวส.ส.เอง หรือครอบครัวของส.ส.เองจะได้ประโยชน์ ก็ถือว่าไม่ผิดแผกแต่อย่างใด

แต่หากผลประโยชน์นั้นมันไปสร้างทุกข์เข็ญให้กับส่วนรวม หรือส.ส.เอานโยบายมาหากินแต่ส่วนตัว อย่างนั้นก็ถือว่าผิดแน่ๆ มันอาจจะทำได้แค่ครั้งสองครั้ง แต่รับรองว่ามันไม่ยั่งยืน

แต่อีกนัยยะหนึ่ง บทบาทของมงคลกิตติ์ นอกไปจากทำหน้าที่ส.ส.แล้ว เขายังเป็นพ่อของลูกๆ อีก 4 คนด้วยกัน ซึ่งรูปแบบการใช้ชีวิตตามปกติคือจะส่งลูกไปเรียนบ้าง และพูดคุยกันเรื่องทั่วไป แต่สำหรับหน้าที่ส.ส.ของคนเป็นพ่อที่ส่องสะท้อนจากกระจกที่ลูกๆ ถือเอาไว้ กลับเห็นภาพที่แตกต่างกันไป

"เขาไม่อยากให้ผมทำงานส.ส. หรืองานการเมืองหรอก เพราอะไรน่ะเหรอ เพราะมันไม่รวยไง อยากให้ทำธุรกิจมากกว่า เขาก็ห่วงประโยชน์ตัวเองตามประสาเด็กแหละ แต่ผมยังมีหน้าที่ที่ต้องจัดการต่อไปอีกเพื่อประเทศชาติ" ส.ส.เต้ ให้คำตอบ

มงคลกิตติ์สะท้อนถึงชีวิตประจำวันอีกว่า ทุกวันนี้ไม่ดื่ม ไม่เล่น แต่ส่วนตัวมัน "โคตรจะอึดอัดเลย" เพราะใจลึกๆ แล้วอยากใช้ชีวิตแบบ "ไร้สติ" บ้าง แต่ก็ขอเวลาทำงานเพื่อประเทศชาติอีกสักหน่อยก่อน แต่หลังจากนั้นจะขอใช้ชีวิตแบบไร้สติกันบ้าง

แล้วการใช้ชีวิตแบบไร้สติแบบไหนที่คนชื่อมงคลกิตติ์ ต้องการ?

"มันก็ไร้สตินั่นแหล่ะ ผมอาจจะทำอะไรที่บ้าหลุดโลกไปเลยก็ได้" นี่คือคำตอบ


ถึงวันตาย ผมจะยิ่งใหญ่

เป้าหมายการเดินทางมาสู่จุดสำคัญ นับจากวันแรกที่กล้าเดินเข้าไปหาคนอย่างชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ จวบจนวันนี้ได้เป็นส.ส.สมใจหมายแล้ว ถือว่าเพียงพอแล้วประสบความสำเร็จแล้วหรือไม่ เรายิงคำถามนี้เข้าสู่มงคลกิตติ์ ก่อนได้รับคำตอบที่น่าสนใจ

"สำหรับงานการเมืองมันยังมีอะไรที่ผมอยากทำอยู่เยอะเลยนะ เอาไว้เลือกตั้งอีกสักสองครั้งหน้าดู ผมว่าคนรุ่นใหม่จะเข้ามามากขึ้น มากกว่าทุกวันนี้ และพวกนักการเมืองเก่าๆ ก็ออกจากงานนี้ไปเกือบหมดแล้ว ถ้าไม่แก่ไปก็คงตายกันไปบ้างแหล่ะ ถึงวันนั้นผมอาจจะมีส.ส.ในมืออีกสัก 20 ที่ คงทำอะไรได้มากกว่าทุกวันนี้ หรือได้ส.ส.มาสัก 100 คน ผมก็อาจจะชิงเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศไปเลย

"แต่เป้าหมายสูงสุด ผมอยากทำอะไรที่เป็นเกียรติประวัติสำหรับตัวเอง อยากให้สังคมรู้ว่าวันที่ผมตายไปแล้ว จะถูกจารึกว่าเป็นคนที่ทำประโยชน์เพื่อแผ่นดิน มันคงเท่ห์ดีนะ แบบว่า นายมงคลกิตติ์ล้างหนี้ให้กับประเทศไทย นายมงคลกิตติ์ ทำให้ประเทศไทยลืมตาอ้าปากได้ ผมอยากได้แบบนั้น ดีกว่าพอเอาขึ้นเผาแล้วอ่านประวัติผู้วายชนม์เฉยๆ มันธรรมดาไปสำหรับผม" มงคลกิตติ์ ฉายภาพอนาคตตัวเอง และเขายืนยันว่าจะทำจริง


ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง
เจาะกรุพระ“พี่เต้ พระราม 7” คุยฟุ้ง “ของพี่อนุทินยังสวยสู้ผมไม่ได้เลย”

"เต้ พระราม 7" ตั้ง "โจ้ สปอตไลท์"จอมแฉแห่งภูเก็ตเป็น "โฆษกฝ่ายค้านอิสระ"