คู่รักใจกล้า ท้าภารกิจเสียวในอวกาศ

by ThaiQuote, 16 พฤษภาคม 2563

วันนี้โลกเราประสบกับภาวะวิกฤตหนักหนาสาหัสอย่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำผู้คนทั่วโลกป่วยแล้วกว่า 4 ล้านราย และเสียชีวิตแล้วอีกกว่า 3 แสนราย และภาวะวิกฤตต่างๆไม่ว่าจะเป็นโลกร้อน สภาพอากาศแปรปรวน ฝุ่นควันพิษและมลภาวะ การสูญพันธุ์ของสัตว์หลายชนิด ปัญหาพลาสติกในทะเล ปัญหาขยะล้นโลก และอื่นๆ อีกมากมาย

ดังนั้นเหล่านักวิทยาศาสตร์จึงพยายามออกไปค้นหาดาวดวงอื่น เพื่อเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยต่อไปในอนาคต ซึ่งที่ผ่านมา นาซ่าพยายามไปที่ดวงดาวต่างๆ เพื่อทดลอง ไม่ว่าจะเป็นการทดลองสร้างบ้านจากเชื้อรา เพื่อให้ทนต่อสภาพอากาศนอกโลกและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, การปลูกพืชบนดาวอังคาร เพื่อเป็นแหล่งอาหารในระยะยาว, การอบคุกกี้ครั้งแรกบนอวกาศ เพื่อพิสูจน์ว่าเราไม่จำเป็นต้องกินแต่อาหารสำเร็จรูป แต่ยังสามารถทำอาหารบนอวกาศได้

แต่นอกจากสิ่งที่กล่าวมาแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นที่สุดต่อการดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์คือ “การสืบพันธ์ุ” บนอวกาศ เพราะถ้าหากมนุษย์เราไม่สามารถร่วมรักกันบนอวกาศและให้กำเนิดทายาทมาสืบทอดเผ่าพันธุ์ได้ สุดท้ายแล้วมนุษยชาติก็คงต้องสูญสิ้น ดังนั้นเหล่านักวิทยาศาสตร์จึงได้ทำการทดลองขึ้นมาว่า คนเราจะร่วมรักกันในอวกาศได้มั้ย


ทั้งนี้เราก็ไม่สามารถส่งนักบินขึ้นไปบนอวกาศแล้วสั่งให้เขาทำกิจกรรมกันได้เลย เพราะรังสีและอนุภาคที่อยู่นอกโลก อย่างรังสีคอสมิกที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง อาจเป็นอันตรายต่อตัวนักบินได้ โดยจากสถิติขององค์การอวกาศยุโรป (European Space Agency) เผยว่านักบินอวกาศมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายจากได้รับรังสีคอสมิกเพิ่มขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับมนุษย์ทั่วไปที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลก เนื่องจากตามปกติแล้วรังสีเหล่านี้จะถูกกรองโดยชั้นบรรยากาศของโลกให้มีความเข้มข้นน้อยลง ทำให้มนุษย์เราสามารถร่วมรักกันบนโลกได้อย่างปลอดภัย แต่เมื่อเราต้องไปร่วมรักกันนอกชั้นบรรยากาศโลก การที่ต้องถอดเสื้อผ้าออก อวัยวะที่เปลือยเปล่านั้น มีโอกาสเป็นอันตรายจากการโดนรังสีได้ ดังนั้นการร่วมรักในอวกาศจึงเป็นภารกิจที่เสี่ยงอันตรายมากทีเดียว


ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่เราจะส่งคู่รักนักบินขึ้นไปร่วมรักในอวกาศ เหล่านักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องทดลองในทุกมิติเสียก่อน โดยเริ่มจากคำถามที่ว่า คนเราจะสามารถร่วมรักในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงได้จริงหรือไม่ ในการทดลองนี้ เหล่านักวิทยาศาสตร์ให้อาสาสมัครที่เป็นคู่สามีภรรยามาลองกอดกันในสภาวะไร้น้ำหนักบนเครื่องบิน Zero G force 1 boeing 737 ซึ่งเครื่องบินนี้จะบินอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 38,000 ฟุต หรือ 11.58 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล ในรัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา เพื่อจำลองสถานการณ์การบินด้วย

โดยอาสาสมัครในภารกิจครั้งนี้คือคุณวานนา บอนต้า (Vanna Bonta) นักเขียนและนักแสดงชาวอิตาเลียน และสามีของเธอ โดยเป้าหมายหลักของทั้งสองคนคือ ต้องกอดและจูบกันให้ได้ภายในระยะเวลา 30 วินาที ฟังดูเหมือนจะง่ายๆ แต่ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วงแบบนั้น แค่จะลอยเข้ามากอดกันก็นับว่าเป็นเรื่องยากแล้ว

ดังนั้นการจะร่วมรักกันจึงจำเป็นต้องใช้ชุดอวกาศชนิดพิเศษที่เรียกว่า “2suit” ซึ่งเป็นชุดนักบินที่มีแผ่นปิดด้านหน้าขนาดใหญ่ สามารถเปิดออกและรูดซิปติดกับชุด 2suit ของคู่รักเราได้ เพื่อไม่ให้ร่างของทั้งสองลอยห่างออกจากกัน และเจ้าชุด 2suit นี้คุณวานนาก็เป็นคนออกแบบเองด้วย

ทั้งนี้ เมื่อเริ่มปฏิบัติภารกิจ คุณวานนาและสามีได้ใช้เวลาทั้งหมด 2 รอบเพื่อปรับตัวให้คุ้นเคยกับสภาพไร้แรงโน้มถ่วง หลังจากนั้นในรอบที่ 3 ทั้งสองคนติดชุด 2suit ของทั้งคู่เข้าด้วยกันก่อนจะพยายามจูบกัน แต่ก็ถูกขัดจังหวะโดยทีมงานที่ขึ้นไปกำกับดูแลบนเครื่องด้วย ทำเอาทุกคนถึงกับเซ็งกันเลยทีเดียว แต่จะไปโทษทีมงานก็ไม่ได้ เพราะนี่เป็นการทดลองครั้งสำคัญ จะให้ทั้งสองขอความเป็นส่วนตัวแล้วไปจ้ำจี้ จู๋จี๋กันตามลำพังก็คงไม่ได้

ขณะที่ คุณวานนาและสามียังคงพยายามจะจูบกันอีกหลายครั้ง แต่กว่าจะสำเร็จ ต้องพยายามถึง 8 รอบ หลังจากจูบกันเป็นระยะเวลาสั้นๆ ทั้งสองคนก็ลงจากเครื่องและกลับมายังพื้นโลกได้สำเร็จ ถือเป็นการสิ้นสุดการทดลองเล็กๆ ก่อนจะนำไปสู่การร่วมรักกันอย่างจริงจังในอนาคต เพราะนอกจากเรื่องของแรงโน้มถ่วงแล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงถึงต่อมาคือเรื่องกฎแรงปฏิกิริยาของเซอร์ไอแซค นิวตัน หรือกฎของนิวตันข้อที่สาม (Newton’s third law)

โดยในกฏนี้กล่าวว่า “แรงที่วัตถุที่หนึ่งกระทำต่อวัตถุที่สอง ย่อมเท่ากับ แรงที่วัตถุที่สองกระทำต่อวัตถุที่หนึ่ง แต่ทิศทางตรงข้ามกัน” หรือ Action = Reaction เหมือนกับการที่เราเหวี่ยงลูกเหล็กลูกหนึ่งไปชนกับอีกลูกหนึ่ง โดยแรงที่ลูกเหล็กหนึ่งกระแทกลูกเหล็กสองนั้นจะเท่ากับแรงที่ลูกเหล็กสองกระเด็นไปในทิศทางตรงกันข้าม อธิบายง่ายๆ คือถ้าหากเราไปทำกิจกรรมนี้ในสภาพไร้น้ำหนักบนอวกาศล่ะก็ แค่การกระทำครั้งเดียว ร่างของนักบินทั้งสองคนก็คงลอยคว้างไปทั่วยานแน่

ยิ่งไปกว่านั้น ภารกิจนักบินอวกาศการสำรวจดาว หรือการออกกำลังกายประจำวันเพื่อไม่ให้สูญเสียกล้ามเนื้อและมวลกระดูกเมื่อกลับมาถึงโลก ถือว่ายุ่งมากพออยู่แล้ว ซึ่งนักบินอวกาศจำเป็นต้องออกกำลังกายด้วยลู่วิ่งและเครื่องยกน้ำหนักเฉลี่ยวันละ 2 ชั่วโมง แค่นี้เหล่านักบินอวกาศก็เหนื่อยจนไม่มีอารมณ์แล้ว

อีกทั้งการอยู่ในภาวะไร้แรงโน้มถ่วงบนอวกาศยังทำให้ความดันของเราลดต่ำลง ส่งผลให้เลือดในร่างกายของเราไหลเวียนช้าลงตามไปด้วย และเมื่อเลือดไหลเวียนช้า การผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างฮอร์โมนเพศชายก็จะผลิตได้น้อยลงด้วย เป็นผลให้คุณผู้ชายมีปริมาณอสุจิน้อยลง น้องชายก็แข็งตัวได้ไม่ดีพอที่จะทำกิจกรรมแบบนั้น

นี่ยังไม่นับรวมถึงปัญหาที่ว่า ถ้าหากนักบินอวกาศสามารถปั๊มลูกกันได้สำเร็จแล้ว การที่ต้องอยู่ในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงในอวกาศจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือไม่ การแบ่งเซลล์และพัฒนาการอวัยวะของทารกจะยังคงทำได้ดีอยู่หรือไม่ เด็กจะเสี่ยงเป็นโรคอะไรตามมาบ้างหรือเปล่า ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังคงต้องหาคำตอบเหล่านี้ต่อไปก่อนที่เราจะสามารถส่งมนุษย์ขึ้นไปร่วมรักกันบนอวกาศได้จริงๆ

อย่างไรก็ตาม การมีเพศสัมพันธ์บนอวกาศนั้นก็ยังเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและมีปัญหาที่เยอะ ที่นาซ่าจะต้องหาคำตอบของคำถามพวกนี้ให้ได้ ก่อนที่จะส่งมนุษย์ขึ้นไปทำอะไรกันและคลอดลูกกันในอวกาศจริง ๆ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ใครจะคิดว่าแค่การร่วมรักกันมันจะยากเย็นขนาดนี้ ว่าแล้วพวกเราควรช่วยกันดูแลรักษาโลกนี้ให้น่าอยู่ไปนานๆ เผ่าพันธุ์มนุษย์ชาติจะได้ ไม่ต้องอพยพไปอยู่ดาวอื่นให้วุ่นวาย ใครเห็นด้วยยกมือขึ้น


ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่น่าสนใจ

  • กรมอนามัย เตือน กินทุเรียน 4-6 เม็ด ร่างกายรับพลังงานสูงเท่าอาหาร 2 มื้อ