45 วัน "เอาคืน หรือยอมแพ้" โจทย์ใหญ่วัดพลัง 4 กุมารผู้ก่อตั้ง "พลังประชารัฐ"

by ThaiQuote, 2 มิถุนายน 2563

โดย....คเชนทร์ พลประดิษฐ์

 

จากข่าวกรณีการยื่นใบลาออกของ 18 กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งถือเป็นประเด็นในกระแสหลักสำหรับข่าวการเมืองวันนี้ ที่สร้างความร้อนแรงให้การเมืองไทยอย่างมาก เบียดประเด็นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตกขอบไปในทันที

ความร้อนแรงของการช่วงชิงอำนาจที่หมายถึง ผลประโยชน์ทางการเมืองของขั้วต่างๆ ในพรรคพลังประชารัฐ พรรคแกนนำรัฐบาล ที่ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรนั้น พอจะได้ข้อสรุปว่า จะต้องมีกลุ่มหนึ่งที่ล้มหายตายจากไปจากหน้าการเมืองไทย ในมุมมองของ “วันวิชิต บุญโปร่ง” อาจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์ วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

 

 

ThaiQuote จึงขอแง้มความคิดของนักวิชาการผู้นี้ ถึงประเด็นการเมืองที่กำลังร้อนแรงเป็นที่สุด โดยเฉพาะเกมการเมืองจากนี้ที่ทั้ง 4 กุมารผู้ก่อตั้งพรรคอย่าง นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล เพราะจากนี้ทั้ง 4 คนในมุมของวันวิชิต จะเวลารัดตัว และต้องแก้เกมในกรอบเวลาเพียงแค่ 45 วัน

“กลุ่ม 4 กุมารในขณะนี้เหลือเวลาหายใจ อีกเพียง 45 วัน ก่อนที่จะจัดให้มีการประชุมเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ภายหลังที่มีการยื่นใบลาออกของคณะกรรมการบริหารพรรคชุดเก่า ซึ่งทำให้การเป็นหัวหน้าพรรคของนายอุตตม สาวนายน และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค สิ้นสภาพไปโดยปริยาย ผมมองว่าต่อจากนี้มีความเป็นไปได้ยากที่ทั้ง 2 คนจะกลับเข้ามาอยู่ในตำแหน่งเดิม หลังมีการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่” วันวิชิต เอ่ยกับเรา ถึงสถานการณ์ของแกนนำพรรคพลังประชารัฐในเวลานี้

 

 

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น แน่นอนว่า มันหมายถึงโผคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนไปด้วย โดยวันวิชิต ให้คำอธิบายว่า “45 วันนับจากนี้ เราจะได้เห็นการเคลื่อนไหวกดดัน เพื่อนำไปสู่การปรับครม. ในโควต้าพรรคพลังประชารัฐ เมื่อได้กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แน่นอนว่าสั่นคลอนต่อกลุ่มของ นายอุตตม โดยตรง เพราะความที่ไม่ได้เป็น ส.ส.”

ขณะเดียวกันแนวทางที่จะรักษาตำแหน่งเก้าอี้รัฐมนตรีไว้นั้น แทบจะเหลือเพียงศูนย์เมื่อ “วันวิชิต” ได้ขยายความว่า “ เป็นไปได้ยากที่กลุ่ม 4 กุมาร จะได้รับโควต้าพิเศษในตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะการออกมาเคลื่อนไหวในครั้งนี้ถือเป็น แรงสมประโยชน์ร่วมกัน ของกลุ่มต่างๆ ภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่รอคอยเวลาทวงคืนตำแหน่งรัฐมนตรี เช่น กลุ่มสามมิตร กลุ่มกปปส. และกลุ่มอื่นๆ ซึ่งทุกคนแฮปปี้หมด เมื่อไม่มีกลุ่ม 4 กุมาร ที่มีโควต้า 3 กระทรวงหลัก โดยการปรับครม.รอบต่อไป”

ชัดเจนว่าอำนาจการปรับเปลี่ยน ครม.นั้นขึ้นตรงต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมเพียงคนเดียว ที่จะดูความเหมาะสมของบุคคลที่จะได้รับเลือกให้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงที่เป็นโควต้าของพรรคพลังประชารัฐ โดยหากไม่มี 4 กุมาร แล้ว ตำแหน่ง รมว.คลัง รมว.พลังงาน รมว.อุดมศึกษาฯ และรวมไปถึงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็จะว่างลงไปด้วย

 

 

“4 ตำแหน่งรัฐมนตรีที่ว่างลงของพรรคพลังประชารัฐ พล.อ ประยุทธ์ จะเป็นผู้ที่ตัดสินใจ แน่นอนว่ามันหมายถึงการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ซึ่งคนทั้ง 3 กลุ่มของพรรคพลังประชารัฐ จำเป็นต้องให้นายกฯ เลือก โดยแคนดิเดตที่เลือกมานั้นต้องเป็น ทีมเศรษฐกิจใหม่ ที่มีน่าตาดี พอที่จะให้คนทั้งประเทศยอมรับ แน่นอนอาจมีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งใน 3 กลุ่มนี้ต้องพลาดหวังไป” วันวิชิต กล่าว

ขณะที่เมื่อถามถึงเส้นทางการเมืองของ นายอุตตม และนายสนธิรัตน์ ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรนั้น “วันวิชิต” ได้ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า “ นายอุตตม และนายสนธิรัตน์ จะค่อยๆเฟสตัวออกไปแบบเงียบๆ โดยโอกาสที่จะกลับมามีบทบาททางการเมืองนั้นคงยาก ขณะที่แนวโน้มของการตั้งพรรคใหม่นั้นเชื่อว่าไม่น่ามีความเป็นไปได้ เพราะไม่มีเสียงสนับสนุนทางการเมือง ด้วยความที่เป็นนักวิชาการ ไม่ใช่นักการเมืองอาชีพ บทบาทที่สามารถทำได้ในรัฐบาลชุดต่อจากนี้ หรือในพรรคคือการเป็นเพียงที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี หรือประธานที่ปรึกษาของพรรคเท่านั้น” วันวิชิต กล่าวในตอนท้าย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง