สะท้อนอีกด้าน “อยู่วิทยา” ปิดทองหลังพระ! ผิดคนเดียว ทำไมต้องเหมารวม?

by ThaiQuote, 31 กรกฎาคม 2563

หมอโพสต์สะท้อนอีกด้านของครอบครัว “อยู่วิทยา” ทำงานช่วยเหลือสังคม “ปิดทองหลังพระ” ชวนสังคมคิด! ผิดคนเดียว สมควรหรือต้องเหมารวมทั้งหมด

ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่สังคมไทยและสื่อต่างประเทศเฝ้าติดตามมาโดยตลอด กับคดีของ “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทมหาเศรษฐีกลุ่มธุรกิจกระทิงแดง จากกรณีขับรถซูเปอร์คาร์ด้วยความเร็วพุ่งชน ดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ผู้บังคับหมู่งานป้องกันปราบปราม สน.ทองหล่อ ขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ และถูกลากไปไกลกว่า 200 เมตร และเสียชีวิต โดยเหตุเกิดในเช้ามืดวันที่ 3 กันยายน 2555

ถึงวันนี้รวมระยะเวลาร่วม 8 ปี และคดีนี้ดุท่าว่าจะถึงจุดสิ้นสุด เมื่อรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แถลงข่าวระบุว่าอัยการพิจารณาสั่งไม่ฟ้อง “บอส” ถือเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว ซึ่งทำให้เกิดคำถามต่อสังคมมากมาย จน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง แล้วรายงานผลภายใน 15 วัน

ขณะที่ภาคสังคมต่างกดดันไปที่ตัวผู้ต้องหา นายวรยุทธ และยังกระทบไปถึงธุรกิจกระทิงแดง และตระกูล “อยู่วิทยา” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เข้าทำนอง “ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง” แม้เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทางกลุ่มธุรกิจ TCP ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้า กระทิงแดงจะออกมาชี้แจงว่า “บอส” ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจก็ตาม 

 

อย่างไรก็ดี แม้ทางกลุ่มธุรกิจ TCP และครอบครัว “อยู่วิทยา” อาจกำลังถูกสังคมตัดสินไปในทางลบ แต่ก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับประเด็นนี้ เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Rattaplee Pak-art” ซึ่งเจ้าตัวระบุว่าเป็นแพทย์ และเป็นเพื่อนกับนายทายาทคนหนึ่งของตระกูลอยู่วิทยา ได้สะท้อนอีกมุมหนึ่งหลายคนอาจไม่รู้ เกี่ยวกับการทำงานช่วยเหลือสังคม ในรูปแบบปิดทองหลังพระของกลุ่มธุรกิจ TCP

โดยโพสต์ดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้

“ผมเป็นเพื่อนของสราวุฒิ อยู่วิทยา ครับ ขอเรียกชื่อเล่นแบบง่ายๆว่า เอ
อยากเขียนถึงเพื่อนคนนี้ให้คนอ่านบ้าง
ช่วงนี้เอและครอบครัวเจอศึกหนักมาก โดนว่าโดนด่าจากสังคม โดนประนามจากคนที่ไม่รู้จักหนักหนาเหลือเกิน
เท่าที่คุยกัน เอก็มีความรู้สึกเหมือนพวกเราทุกคนแหละครับ เพียงแต่ไม่ได้ออกมาโพสต์ความในใจให้ทุกคนอ่านหรือฟังกัน
เอก็รู้เรื่องนี้จากข่าวเหมือนเรา คือรู้ทีหลังเลย ยังตกใจเหมือนเราอีกว่า เมืองไทยทำยังงี้ได้ด้วยเหรอ(วะ)
เหมือนเราตรงที่ไม่พอใจที่จะมีการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม กฎหมายและความถูกต้อง แต่จะจัดการก็คงไม่ง่ายนัก

นึกถึงตอนเรียนชั้นประถม ในห้องมีเพื่อนส่งเสียงดังเล่นกันอยู่คนสองคน วันนั้นคุณครูเอาไม้เรียวหวดก้นยกชั้น
ผมเองถึงแม้ยังเด็ก แต่ก็ไม่เข้าใจ ว่าเราไม่ได้ทำผิด ทำไมถึงโดนตี
ครูบอกว่า อยู่ห้องเดียวกัน ไม่เตือนกัน ไม่ช่วยกันดูแล ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
ครูไม่รู้หรอกครับ ว่าเราเตือน เราห้ามเพื่อนแล้ว เราช่วยกันดูแลแล้ว แต่เพื่อนตัวแสบมันไม่ฟังเรา
ตอนที่โดนตี เพื่อนหลายคนก็พยายามบอกความจริงกับครูว่าอะไรเป็นอะไร
แต่ครูไม่ฟัง ครูตั้งใจมาตีอย่างเดียวเลย
วันนี้สังคมใน social media ทำตัวเหมือนเป็นครูคนนั้น ไม่แม้แต่พยายามจะฟังหรือพยายามจะเข้าใจ
เวลาที่ผ่านไป เด็กดีในห้องหลายคนก็ไม่เข้าใจว่าจะทนทำดีไปทำไมกัน สุดท้ายก็ต้องมาโดนครูตีเหมือนกับเจ้าเพื่อนตัวแสบ

ผมกับ สราวุฒิ(เอ) อยู่วิทยา เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ม.4 ที่เตรียมอุดม จากนั้นก็แยกย้ายไป ผมมาเรียนหมอที่จุฬาฯ ส่วนเอไปเรียนวิศวะลาดกระบังแล้วดูแลกิจการใหญ่ที่บ้านต่อ ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก ช่วงไข้หวัดใหญ่2009 ระบาดไปทั่วโลก โรงพยาบาลทั้งเล็กใหญ่ในเมืองไทยดูจะไม่ค่อยพร้อมเท่าไรกันเลย ผมเลยโทรหาเอ จำได้ว่าเป็นสองทุ่มของวันศุกร์ เล่าให้ฟังว่ามีความจำเป็นรีบด่วน แต่ไม่สามารถตั้งเบิกงบจัดซื้อจัดหาสิ่งจำเป็นได้ทันเวลา อยากได้เงินซักห้าแสนไปซื้อข้าวของและจ้างกั้นทำห้องตรวจที่โถงตึกจักรพงษ์ หลังจากฟังอยู่พักใหญ่ เอตอบมาว่า ทำไมโทรมาตอนนี้ค่ำมืด ธนาคารปิดกันหมดแล้ว เอางี้ละกัน วันจันทร์จะเอาเช็คไปให้ พอวันจันทร์เอก็เอาเช็คมามอบให้ที่โรงพยาบาลหนึ่งล้านบาท(จากที่ขอไว้ห้าแสน)พร้อมบอกว่า กลัวโรงพยาบาลไม่พอใช้ ในที่สุดเราก็ได้จัดห้องตรวจคัดกรองแยกโรคพร้อมอุปกรณ์ทั้งหลายพอให้ผ่านวิกฤตคราวนั้นมาได้ด้วยดี

ต่อมาไม่นาน ผอ.รพ.ขณะนั้นกำลังระดมทุนสร้างอาคารภูมิสิริฯซึ่งขาดอยู่อีกมาก เราเลยไปขอการสนับสนุนจาก TCP ตั้งเป้าไว้ว่าถ้าได้10-20ล้านก็มากแล้ว วันรุ่งขึ้นเอก็โทรมาบอกว่า โครงการสร้างตึกภูมิสิริฯนี่ดีมากเลย ชอบมาก แต่บริษัทเพิ่งปิดงบไป ตอนนี้เลยมีให้ไม่มาก ขอให้ไว้ 80ล้านบาทก่อน ปีต่อๆไปจะให้เพิ่มอีก พร้อมทั้งขอโทษขอโพยเราใหญ่ เราเองก็ดีใจมาก เพราะจะได้เงินบริจาคมาทำตึกรักษาคนไข้ให้ดี ๆ ต่อมาเอกับพี่น้องก็ทยอยร่วมกันบริจาคเพิ่มอีกเรื่อย ๆ จนเป็นสองร้อยล้านบาทสำหรับอาคารภูมิสิริที่เดียว ตอนนั้นจะขอถ่ายรูปไปทำข่าวทำอะไรก็ไม่ยอม บอกว่าไม่อยากออกหน้า ตั้งใจมาทำบุญจริง ๆ

บ่อยครั้งที่ญาติพี่น้องในครอบครัวเอป่วย ทั้งที่สามารถไปรักษาที่ไหนก็ได้ในโลก หรือโรงพยาบาลเอกชนแสนแพงในเมืองไทย เพราะยังไงก็จ่ายได้ แต่เอกับพี่น้องเลือกที่จะเข้ารักษาในโรงพยาบาลรัฐบาลแล้วตอนหลังก็มักจะบริจาคสร้างตึก ปรับปรุงสถานที่ หรือจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ราคาสูงให้เสมอ เท่าที่ผมพอจะเห็นกับตา ได้ยินกับหูก็เช่น ศูนย์เคมีบำบัด รักษาโรคมะเร็ง ศูนย์ผ่าตัดหัวใจ หอพักนักศึกษาซึ่งแต่ละแห่งมูลค่าหลายสิบล้านทั้งนั้น ตลอดจนครุภัณฑ์ราคาเจ็ดหลัก แปดหลักก็บริจาคกันบ่อย ๆ หลายสิ่งหลายอย่างที่ว่านี้ บ่อยครั้งที่พี่น้องอยู่วิทยา ขอไม่ไปร่วมพิธีมอบ หรือขอไม่เข้าร่วมพิธีเปิด เพราะ ไม่อยากเป็นข่าว ไม่ชอบเรื่องออกหน้าออกตา

จนบางครั้งเวลามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น คนก็มักจะไม่รู้ว่าเหล่าพี่น้องอยู่วิทยาทำความดีอะไรไว้เบื้องหลังบ้าง ผมเคยถามเอหลายครั้งว่าทำไมไม่ชอบออกหน้ากัน เอบอกว่าพ่อแม่(คุณเฉลียวและคุณภาวนา)บอกว่าให้ปิดทองหลังพระ ทำความดีไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นรู้ แค่ตัวเองรู้ก็พอ ผมเคยบอกเอว่าสมัยนี้น่าจะต้องออกหน้าบ้าง จะมัวแต่ปิดทองหลังพระไม่ไหวแล้ว เวลาเราเดือดร้อน คนก็ไม่มาสงสารเห็นใจ เพราะไม่ค่อยรู้สิ่งที่เราทำ พูดไปหลายสิบรอบจนช่วงหลัง ๆ ก็มียอมออกหน้าบ้าง จนมาถึงวิ่งกระตุกหัวใจปี 2018 และ วิ่งกระตุกหัวใจVirtual run ปี 2019 ที่ไปขอให้เอมาช่วยทำงานกัน เอก็มาแบบจัดเต็มคือ ช่วยเงินสนับสนุนเยอะมาก เยอะกว่า major sponsor หลายราย แต่ขอออกหน้านิดเดียวโดยพยายามเกลี่ยผลิตภัณฑ์ไม่ให้เด่นนัก

นอกจากเงินแล้ว เอยังส่งทีมคนทำงานจากTCP มาช่วยอีกหลายฝ่าย แม้กระทั่งมาประชุมเองบ่อยมาก ช่วยออกความคิดระดมความเห็นจนในที่สุดเราได้เงินบริจาคร้อยกว่าล้านบาทเยอะพอที่จะสามารถซื้อเครื่อง AED แจกได้ทุกจังหวัดจังหวัดละหลาย ๆ เครื่องกันเลย ผมยังแซวกันอยู่เลยว่า เอเอาเวลาทำเงินรายได้ให้บริษัท มาทำงานการกุศลแบบตัวเองเสียทั้งเวลาเสียทั้งเงิน แต่เอก็หัวเราะบอกว่าแบบนี้แหละชอบ สนุกด้วย ได้บุญด้วย

จนเมื่อธันวา-มกราที่เพิ่งผ่านมา เอกับผมโทรคุยกันบ่อยมากด้วยเรื่อง COVID19 ว่าถ้าเข้าไทยจะทำไงกันดี เรื่องเงินบริจาคช่วยคนไทยไม่ใช่ปัญหาสำหรับเอและ TCP แต่หลาย ๆ อย่างนั้นมีเงินก็ไม่สามารถซื้อได้ เราเลยค่อย ๆ เริ่มจากทำหน้ากากผ้าแบบมีไส้กรองช่วงแรกทำไปราวแสนชิ้นรวมถึงหน้ากาก N95 และชุด PPE ที่สั่งซื้อจากต่างประเทศเพื่อแจกจ่ายฟรีให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนทั่วประเทศ ตู้อะครีลิคสำหรับตรวจโควิดที่ใช้ตรวจคนไข้และป้องกันบุคลากรทางการแพทย์ก็ช่วยทั้งผลิตและจัดส่งถึงมือแพทย์พยาบาลผู้ใช้ตามโรงพยาบาลกันเลย หรือแม้กระทั่งเครื่องมือตรวจRT-PCRรุ่นล่าสุดที่เพิ่งผ่านFDAสหรัฐอเมริกาที่หายากเพราะขาดแคลนกันทั้งโลก เอก็ควักเงินสิบกว่าล้านให้โดยไม่ลังเลพร้อมทั้งช่วยต่อรองอย่างแข็งขันจนได้มาใช้ช่วยคนไทยไปได้มากโขอยู่

ระหว่างที่ช่วยกันทำเรื่องCOVID19 หลายเรื่องที่เกี่ยวกับตำรวจหรือศุลกากรนั้น เอบอกว่าไม่รู้จักใครเลย แล้วถามผมว่าพอจะช่วยได้มั้ย ทั้งเรื่องการหาหน้ากากN95จากต่างประเทศเพื่อมาแจกรพ. การนำเข้าเครื่องตรวจราคาแพงแบบจำเป็นเร่งด่วน หรือแม้กระทั่งการจัดส่งเวชภัณฑ์และครุภัณฑ์หลายอย่างที่ต้องพึ่งตำรวจทางหลวง ผมเลยต้องอาศัยคนไข้บ้าง เพื่อนฝูงพี่น้องที่รู้จักกันบ้าง ค่อย ๆ ช่วยกันจนลุล่วงไปได้ ยังนึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่า เอไม่ค่อยใช้หรือไม่ค่อยมีเส้นสายอิทธิพลเหมือนคนมีเงินทั่ว ๆ ไปเลย แปลกดีเหมือนกัน

ที่ผมเล่ามาข้างบนนั้นยืดยาวเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่จริงยังมีอีกเยอะและยาวมากที่เอและพี่น้องได้ปิดทองไว้ข้างหลังพระ
วันนี้ผมขอโอกาสเป็นผู้ชวนให้ผู้ที่ผ่านมาอ่านเข้าแวะเดินไปชมหลังองค์พระบ้าง
ถ้ามัวแต่รอให้ทองโผล่ไปข้างหน้า คนปิดทองอยู่ข้างหลังอาจจะท้อใจหรือตรอมใจจากไปก่อนกาลได้
ไม่อยากให้คนดี ๆ เสียกำลังใจไป ห่วงจะไม่มีคนมาปิดทองที่องค์พระกันอีก

แต่สำหรับผมแล้ว
ไม่ว่าเอจะรวยไปกว่านี้ หรือจะยากจนไม่เหลืออะไรเลย
จะสุขกว่านี้ หรือจะทุกข์กว่านี้
สังคมจะรักหรือจะด่าประนามแค่ไหน
ผมยังมั่นใจเสมอว่า คุณธรรมและความดีงามของเอยังคงเหมือนเดิม
ผมยังภูมิใจที่ได้บอกคนอื่นเต็มเสียงทุกครั้งว่า
"คนนี้ คุณเอ สราวุฒิ อยู่วิทยา เพื่อนผมเองครับ"

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง