ส่อง 5 ความเชื่อผิดๆ ในการชาร์จมือถือ ที่ ทำเราเข้าใจผิดมาตลอด

by ThaiQuote, 28 กันยายน 2563

เผยความเชื่อผิดๆ 5 เรื่องในการชาร์จมือถือ ที่เราอาจทำมาตลอดโดยไม่รู้ตัว พร้อมเคล็ดลับชาร์จแบ็ตยังไง ไม่ให้เสื่อมเร็ว

 

การชาร์จมือถืออาจเป็นได้ทั้งสิ่งที่ง่ายที่สุดและยากที่สุดในเวลาเดียวกัน เพราะเอาเข้าจริงแล้วเราไม่ได้แค่เสียบสาย USB แล้วตั้งทิ้งไว้เฉยๆ ยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เราควรปฏิบัติตามเพื่อให้การชาร์จมีประสิทธิภาพสูงสุด ปลอดภัยที่สุด และยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรีคุ้มค่ายาวนานที่สุด

ซึ่งที่ผ่านมาเราก็มักจะได้รับคำแนะนำที่บอกต่อๆ กันมา บางอย่างก็เข้าใจถูก แต่บางอย่างก็เป็นความเข้าใจผิดที่อาจส่งผลเสียตามมา และวันนี้ เราจะมาพูดถึงความเข้าใจผิดยอดฮิต 5 ข้อเกี่ยวกับการชาร์จแบตมือถือที่คุณอาจกำลังทำอยู่โดยไม่รู้มาก่อน จะมีอะไรบ้างไปดูกัน


1. การชาร์จมือถือข้ามคืนอาจทำให้มือถือระเบิด


การชาร์จสมาร์ทโฟนข้ามคืนเป็นอะไรที่ใครหลายคนก็ทำกัน เพื่อที่เราจะได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับแบตเตอรีเต็มเปี่ยมพร้อมใช้งานในวันใหม่ แต่ก็มักมีคนเตือนเราอยู่เสมอว่า การชาร์จทิ้งไว้ทั้งคืนแบบนี้อาจทำให้แบตเตอรี่ลุกไหม้ หรือถึงขั้นระเบิดได้จากการโอเวอร์ชาร์จ และเราก็มักจะเห็นอุบัติเหตุทำนองนี้อยู่เรื่อยๆ ในข่าว ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

 

 

ความจริง คือ เราไม่สามารถโอเวอร์ชาร์จสมาร์ทโฟนจากการชาร์จโดยปกติได้ เนื่องจากสมาร์ทโฟนทุกรุ่นในปัจจุบันจะมีวงจรควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้า ที่จะค่อยๆ ลดการจ่ายกระแสไฟลงเรื่อยๆ เมื่อการชาร์จเข้าใกล้ 100% (สังเกตว่าความเร็วในการชาร์จจะช้าลงหลังจาก 90% ขึ้นไป) และจะตัดกระแสไฟเมื่อชาร์จจนเต็ม 100% แล้ว นอกจากนี้ วงจรควบคุมยังสามารถวัดความร้อนในระบบชาร์จได้ด้วย เมื่อมีความร้อนสูงก็จะลดการจ่ายกระแสไฟฟ้าลงโดยอัตโนมัติ ดังนั้นหากทุกอย่างทำงานถูกต้อง การโอเวอร์ชาร์จจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย

แต่อันตรายที่แท้จริงของการชาร์จมือถือข้ามคืน คือความร้อนสะสมจากการชาร์จ โดยเฉพาะเมื่อใส่เคสที่มีการระบายความร้อนไม่ดี รวมไปถึงการชาร์จสมาร์ทโฟนทิ้งไว้ในจุดที่ระบายความร้อนลำบาก เช่น ใต้ฟูก หรือใต้หมอน ความร้อนที่ไม่มีที่ไปอาจสะสมอยู่ในตัวแบตเตอรีจนลุกไหม้หรือระเบิดได้ อีกปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การลุกไหม้คือการใช้สายชาร์จหรือแท่นชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือฝืนใช้สายชาร์จที่ขาดจนเห็นสายไฟข้างใน ซึ่งในกรณีหลังนอกจากจะเสี่ยงต่อการลุกไหม้แล้ว ยังเสี่ยงต่อการโดนไฟช็อตจากกระแสไฟฟ้ารั่วอีกด้วย


2. ควรใช้จนแบตหมดเกลี้ยงก่อน แล้วถึงชาร์จใหม่จนเต็ม


นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ แต่ความจริงก็คือ การปล่อยให้แบตเตอรีสมาร์ทโฟนหมดเกลี้ยงแล้วค่อยชาร์จจนเต็มไม่ได้ช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรีขึ้นเลย กลับกันมันยังทำให้แบตเสื่อมเร็วอีกต่างหาก

 

 


ที่มาของความเชื่อนี้ น่าจะมาจากวิธีการชาร์จแบตเตอรี่ประเภท นิกเกิล-แดคเมียม (Ni-Cd) ซึ่งนิยมใช้กันมากเมื่อสมัยยุค 90 ซึ่งแบตเตอรีชนิดนี้ มีข้อจำกัดด้านการจดจำกระแสเดิม (memory effect) หากนำไปชาร์จโดยที่ยังเหลือประจุอยู่ ความจุของตัวแบตจะลดลง แต่แบตเตอรีที่ใช้กันอยู่ในสมาร์ทโฟนยุคปัจจุบันเป็นแบตเตอรีชนิด ลีเธียม-ไอออน (Li-Ion) หรือ ลีเธียม-โพลิเมอร์ (LiPo) ซึ่งไม่มีปัญหาเรื่อง memory effect แต่ความจุจะค่อยๆ ลดลงตามรอบการชาร์จ (cycle) และไม่ได้ลดแบบฮวบฮาบ บางคนเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ก่อนแบตจะเสื่อมด้วยซ้ำไป ดังนั้นเราจึงสามารถชาร์จสมาร์ทโฟนของเราได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องรอให้เหลือ 0% อีกต่อไป


3. ต้องใช้ที่ชาร์จและสายชาร์จยี่ห้อเดียวกับมือถือเท่านั้น

 

 

จริงอยู่ที่การใช้สายชาร์จของแท้ที่เป็นของแบรนด์มือถือโดยตรงเป็นตัวเลือกที่ดีและปลอดภัยสุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการใช้สายชาร์จยี่ห้ออื่นจะเป็นอันตรายแต่อย่างใด หากอุปกรณ์เป็นของแท้และเป็นยี่ห้อที่เชื่อถือได้ ก็สามารถใช้งานแทนกันได้ปกติ เพียงแต่ว่าสายชาร์จบางรุ่นอาจจะไม่รองรับระบบชาร์จเร็วซึ่งต้องตรวจสอบให้ดีก่อนซื้อมาใช้งาน


4. การชาร์จไปเล่นไป จะทำให้เครื่องระเบิด


หลายคนมักถูกเตือนอยู่บ่อยๆว่า การเล่นมือถือขณะที่กำลังชาร์จอยู่อาจทำให้แบตเตอรีระเบิด ลุกไหม้ หรือเกิดไฟช็อตเอาได้ ความจริงก็คือการเล่นไปชาร์จไปจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น แต่จะไม่ถึงขั้นระเบิดคามือ หากเราใช้อุปกรณ์การชาร์จที่ได้มาตรฐานครับ

 

 

สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสมาร์ทโฟนเมื่อเราชาร์จไปด้วยเล่นไปด้วยคือแบตเตอรีจะคายประจุและเก็บประจุไปพร้อมๆ กัน เมื่อเวลาผ่านไปอาจทำให้บางส่วนของแบตเตอรีผ่านรอบการชาร์จ (cycle) มามากกว่าส่วนอื่นๆ หรือพูดง่ายๆ คือแบตเตอรีเสื่อมไม่เท่ากันทั้งก้อน และหมดสภาพไปก่อนเวลาอันควร

ส่วนการที่แบตเตอรีจะระเบิดหรือลุกไหม้ได้นั้น ขึ้นอยู่กับความร้อนสะสมและแรงดันไฟฟ้าเกินจากอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐานมากกว่า ดังนั้นหากต้องการยืดอายุการใช้งานแบตเตอรีให้นานที่สุด ควรหลีกเลี่ยงการใช้งานสมาร์ทโฟนหนักๆ เช่นการเล่นเกม ระหว่างชาร์จ ส่วนการใช้งานเล็กๆ น้อยๆ ทั่วไปไม่ส่งผลอะไรมากนัก


5. ควรปิดแอปพื้นหลังทั้งหมดเพื่อประหยัดแบตเตอรี่

 

 


แอปพลิเคชันหลายตัวจะทำงานอยู่บนพื้นหลังตลอดเวลา ซึ่งทำให้หลายคนเชื่อว่าแอปพลิเคชันเหล่านี้เองที่คอยสูบแบตเตอรีอยู่เงียบๆ จึงพยายามเข้าไปปิดมันอยู่ตลอด แต่จริงๆ แล้วมันช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะส่วนใหญ่แอปพลิเคชันพวกนี้จะกลับมาทำงานบนพื้นหลังอีกครั้งทันทีที่เราปิดมัน ส่วนตัวการจอมสูบเบตเตอรีตัวจริงนั้นคือหน้าจอแสดงผล ดังนั้นแทนที่เราจะปิดแอปพวกนี้เฉยๆ ให้เราเปิดโหมดประหยัดพลังงานจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะโหมดนี้จะถูกตั้งค่ามาจากผู้ผลิตให้หยุดส่งข้อมูลพื้นหลังทั้งหมดเมื่อไม่ได้เปิดหน้าจออยู่แล้ว หรือถ้าเราไม่จำเป็นต้องใช้สมาร์ทโฟนก็เปิดโหมดเครื่องบินไปเลยก็ได้เหมือนกันครับ

รู้อย่างนี้แล้ว หวังว่าทุกท่านจะมีความเข้าใจ ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการชาร์จแบตเตอรี่มือถือกันมากขึ้น และช่วยหลีกเลี่ยงวิธีชาร์จที่ส่งผลเสียต่อตัวเครื่องได้เป็นอย่างดี

 

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ

เกษตรกรแทนซาเนียเก็บผล “มะม่วงหิมพานต์” กองยักษ์ สีสวยสดใส