รพ.สต. “มดงาน” ด่านหน้า สาธารณสุขไทย ต่อสู้โควิด-19

by ThaiQuote, 4 ตุลาคม 2564

จากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของไทย ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 4 ต.ค. มีผู้ติดเชื้อสะสมรวมแล้วจำนวน 1.6 ล้านราย ซึ่งจากที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โดยบุคลากรด่านหน้านับเป็นกำลังหลักในการปฏิบัติการ ทั้งการสกัดกั้นเฝ้าระวังโรค การค้นหากลุ่มเสี่ยง การส่งตัวเข้าระบบการรักษา ตลอดจนการติดตาม เพื่อชะลอภาระงานการรักษาพยาบาลในระดับจังหวัด ไม่ให้สูงขึ้นไปจนถึงขั้นวิกฤตหรือเกิดภาวะเตียงล้นได้

 

ข้อมูลจาก สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ที่ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สนับสนุนทุนวิจัย “การศึกษาสถานการณ์และความต้องการกำลังคนด้านสุขภาพระดับปฐมภูมิในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19” ได้ฉายภาพชี้ชัด ถึง กลุ่มมดงาน อย่างรพ.สต. ที่มีความสำคัญ ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่า อสม. หรือแพทย์และพยาบาล เจ้าหน้าที่ในระบบสาธารณสุข อื่นๆเลย

 

 

นพ.พินิจ ฟ้าอำนวยผล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. กล่าวว่า ทีมวิจัยได้ประเมินภาระงานของบุคลากรระดับปฐมภูมิ ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงเดือน ม.ค.- มิ.ย.63 ซึ่งเป็นช่วงการระบาดของโควิด-19 รอบแรก ของทุก รพ.สต. ทั้งประเทศ และหยิบยกตัวอย่างประเมินผลเชิงเปรียบเทียบใน รพ.สต. 9 แห่ง ใน 3 จังหวัด คือ นนทบุรี ราชบุรี และสมุทรสงคราม

ทั้งนี้ ผลจากการศึกษา โดยใช้เวลาร้อยละ 50 ของชั่วโมงการทำงานหลังหักภาระงานขั้นต่ำมาคำนวณ พบว่า ในระดับจังหวัด สามารถติดตามผู้สัมผัสหรือค้นหาเชิงรุกได้เฉลี่ยประมาณ 5,000 ราย/วัน หากระดมบุคลากรจากทุกรพ.สต. ในจังหวัด

 

 

 

ขณะที่ระดับอำเภอ สามารถติดตามผู้สัมผัสหรือค้นหาเชิงรุกได้สูงสุด โดยเฉลี่ยประมาณ 430 ราย/วัน หากระดมบุคลากรจากทุกรพ.สต. ในอำเภอ

และสำหรับระดับ รพ.สต. ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 75) สามารถติดตามผู้สัมผัสหรือค้นหาเชิงรุกได้ 20–80 ราย/วัน แต่ก็มีร้อยละ 10 ของรพ.สต.ทั้งหมด ที่มีปัญหาบุคลากรไม่พอที่จะดำเนินการควบคุมโรคได้ตามลำพัง

ดังนั้น โดยภาพรวม รพ.สต. ส่วนใหญ่ยังมีศักยภาพ ในการควบคุมการระบาดของโรคในพื้นที่ได้ในระดับหนึ่ง โดยอาจจะต้องมีการระดมบุคลากรในระดับอำเภอ หรือในระดับจังหวัด หากการระบาดของโรครุนแรงขึ้น ได้แก่ การติดตามผู้สัมผัส การตรวจหาเชื้อ การส่งผู้สัมผัสไปยังสถานที่กักตัว การเข้าเวรด่านคัดกรอง การประชาสัมพันธ์และเฝ้าระวังในชุมชน เป็นต้น

โดยปฏิบัติการคู่ขนานไปกับภาระงานที่ต้องทำตามปกติ ทั้งนี้เนื่องจากบุคลากรมีความสามารถในการบริหารจัดการชั่วโมงการทำงานบางส่วนที่สามารถยืดหยุ่นได้ โดยอาจจะต้องลดงานบางส่วนลง ในช่วงการระบาดของโรค เป็นต้น

น.ส.สุมิตรา ยาน้ำทอง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ รพ.สต.อ้อมเกร็ด จ.นนทบุรี 1 ใน 9 รพ.สต. พื้นที่ศึกษาของงานวิจัยดังกล่าว กล่าวว่า รพ.สต.อ้อมเกร็ด มีบุคลากรปฏิบัติงาน 3 คน คือ พยาบาลวิชาชีพ 1 คน นักวิชาการสาธารณสุข 2 คน

 

 

โดยรับผิดชอบดูแลประชาชนจำนวน 4,500 คน การทำงานคล้ายกับ รพ.สต.ทั่วไป คือ มีการบริการตรวจรักษา คัดกรองโรคเรื้อรัง ฝากครรภ์ การฉีดวัคซีน รวมทั้งการจัดบริการเชิงรุกในพื้นที่ เช่น การคัดกรองเบาหวาน เดือนละ 1 ครั้ง เป็นต้น ซึ่งยังไม่รวมงานธุรการ งานข้อมูลที่ต้องรายงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

ในสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา การดำเนินงานของ รพ.สต. ได้เริ่มปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์โดยร่วมกับทาง อ.ปากเกร็ด เช่น ตรวจคัดกรองอุณหภูมิตามด่าน การออกหน่วยเพื่อร่วมตรวจคัดกรองผู้สัมผัสกลุ่มเสี่ยงตามตลาด โรงงาน แคมป์คนงาน ฯลฯ

ส่วนกิจกรรมหลักในพื้นที่ยังเป็นการสอบสวนโรค การติดตาม/เยี่ยมผู้สัมผัสหรือคนที่กักตัวตามบ้าน การส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาล งานออกหน่วยเชิงรุก การฉีดวัคซีนโควิดให้กับประชาชน การดูแลผู้ป่วยโควิดที่อยู่ตามบ้าน รวมถึงการประจำที่ศูนย์พักคอยร่วมกับส่วนท้องถิ่น

ทำให้งานบริการสาธารณสุขบางอย่างของ รพ.สต. ต้องหยุดไปด้วยข้อจำกัดของภาระงานที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ งานทันตกรรม งานคัดกรองผู้ป่วยเบาหวานในลงชุมชน การล้าง/ดูแลแผลผู้ป่วยกดทับในผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งเป็นงานที่ประเมินแล้วไม่กระทบกับผู้ป่วยมากและสามารถให้คนในบ้านหรือ อสม. ช่วยดูแลได้

โดยรวมการทำงานของ รพ.สต.อ้อมเกร็ด ยังอยู่ในระดับที่รับมือได้เพราะทำงานลักษณะเป็นทีมร่วมกับอำเภอ แต่ผลกระทบในระดับคนทำงานคือ ต้องทำงานในวันหยุดและการอยู่เวรตามโรงพยาบาลสนามหรือสถานกักตัว

ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวว่า การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์และความสามารถในการบริหารจัดการกำลังคนด้านสุขภาพระดับปฐมภูมิ ในการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ซึ่ง พบว่าระบบยังสามารถบริหารจัดการได้ ถึงแม้ในสถานการณ์ที่มีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นและมีภาะงานเพิ่มเข้ามา เช่น การฉีดวัคซีน การตั้งจุดพักคอย โรงพยาบาลสนาม ตลอดจนจุดที่เป็นคลัสเตอร์ระบาดใหม่

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเสนอว่า ควรมีการวางแผนระดมกำลังคนในระดับอำเภอ และระดับจังหวัด หากสถานการณ์รุนแรงเกินกว่าที่จะรับมือได้ในระดับจังหวัด ควรวางแผนในรูปแบบของโซน แล้วขยายพื้นที่การระดมบุคลากรตามสถานการณ์ความรุนแรงของการระบาดที่เพิ่มขึ้น

ส่วน รพ.สต. อาจจะต้องมีการทบทวนการปรับการให้บริการ เช่น ลดระยะเวลาบริการ ลดบริการที่ไม่จำเป็นเร่งด่วน หรือเพิ่มจำนวนชั่วโมงการทำงานในแต่ละวัน เป็นต้น

 

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

มองโกเลีย เร่งปลูกป่า 1 พันล้านต้น รับมือประเทศกลายเป็นทะเลทราย