เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู เผยเหตุเนื้อหมูแพง จากวัตถุดิบอาหารสัตว์ราคาพุ่ง ขอรัฐเร่งดูแลแก้ปัญหา

จากกรณีที่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ประกาศปรับราคาจำหน่ายสุกรมีชีวิตเป็น 84 บ./กก.นั้น ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ราคาเนื้อหมู ทั้งปลีกและส่งมีราคาแพงขึ้นนั้น เกษตรกรผู้เสี้ยงหมูให้เหตุผลว่า ว่าจากการที่สถานการณ์ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาสูงขึ้น

"ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ขณะนี้อยู่ที่กว่า 11 บ./กก. กากถั่วเหลือง ปลายข้าว รำข้าว ก็มีราคาสูงขึ้น ที่แปลกใจคือราคาปลายข้าว ที่สูงถึง กว่า 10 บาท ทั้งๆที่ข้าวเปลือกราคาถูกมาก ส่งผลต้นทุนการเลี้ยงสัตว์สูงขึ้น 20-30% โดยเกษตรกรรายย่อย 80% ผสมอาหารสัตว์กันเอง หากอาหารสัตว์ทุกชนิดแพงขึ้นก็เดือดร้อนกันหมด เพราะการเลี้ยงหมู 1 ตัวมีต้นทุนค่าอาหารถึง 65%” “เสน่ห์ นัยเนตร” เกษตรกรผู้ดลี้ยงหมู จ.ฉะเชิงเทรา กล่าว

ขณะเดียวกัน ฟาร์มหมูหลายแห่งยังประสบปัญหาโรคระบาด PRRS ด้วย จำเป็นต้องมีการลงทุนเพื่อป้องกันโรคซึ่งใช้งบสูงมาก ราคาขายก็ไม่ได้ดี เพราะถ้ามีฟาร์มใกล้ๆเกิดโรค ต้องรีบขายหมูทิ้งในราคาไม่คุ้มทุน

ขณะนี้ฟาร์มหมูรายย่อย ที่มีกว่าแสนราย เหลือเพียงไม่ถึง 20,000 ราย เพราะทนรับต้นทุน และการเกิดปัญหาต่างๆไม่ได้ บางส่วนยังได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมฟาร์ม

ดังนั้นจึงอยากขอให้รัฐเข้ามาช่วยจัดการในส่วนที่เป็นต้นทุนหลัก คือราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ เพื่อช่วยให้ต้นทุนไม่สูงไปกว่านี้ และต้องขอวอนให้ผู้บริโภคเข้าใจด้วยว่าเนื้อหมูอาจขยับราคาสูงขึ้นบ้าง เป็นเพราะปริมาณหมูในท้องตลาดมีน้อยลงจากสถานการณ์ต่างๆ

ขณะที่เกษตรกรกผู้เลี้ยงหมูอีกราย อย่าง “เกรียงศักดิ์ เสรีรัตน์ยืนยง” จาก จ.ยะลา กล่าวว่า แม้ข้าวเปลือกจะมีราคาถูกมากราว 5-6,000บาท/ตัน แต่ราคาปลายข้าวกลับมีราคาสูงถึง 10 กว่าบ./กก. จากเดิมที่ควรอยู่ที่ 7-8 บ./กก.

ขณะที่ข้าวโพดที่มีการประกันราคารับซื้อให้เกษตรกรผู้ปลูกพืชขั้นต่ำที่ 8.00 บ./กก. แต่ไม่มีการกำหนดราคาขั้นสูง ส่งผลให้ราคาพุ่งขึ้นถึง 11 บ. ซ้ำเติมต้นทุนการเลี้ยงสัตว์