“เวลาที่เราสู้เพราะความโกรธ เราอาจหยุดเมื่อเราเหนื่อย เวลาที่เราสู้เพราะความไม่ถูกต้อง เราจะหยุดได้เมื่อพบความถูกต้อง”

by วันทนา อรรถสถาวร , 9 เมษายน 2565

หลายคนคงเห็นข่าว “เจอร์นี่” หรือ “เจ๋อ” หมาสีช็อกโกแลต ตามสื่อต่าง ๆ กันอย่างแพร่หลายแล้ว รู้ไหมว่าพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ “ธิษณา เดือนดาว” หรือ “จุ๊” ลุกขึ้นมาต่อสู้แม้ต้องเสียน้ำตา และใช้เวลาในศาลชั้นต้นเกือบสามปีเพราะว่า “Journey คือ ความสุข”

 

ธิษณา เดือนดาวหรือ จุ๊เล่าให้ฟังว่าความปรารถนาที่จะเลี้ยงสุนัขเริ่มต้นจากเจ้า “ลาเต้” สุนัขของเพื่อนบ้าน แอบมุดลอดรั้วเข้ามางับดอกบัวในอ่างที่บ้าน ด้วยหน้าแบ๊วใสซื่อน่ารัก ทำให้จุ๊เริ่มเห็นเสน่ห์ หลังจากวันนั้นจุ๊ก็คอยไปด้อม ๆ มอง ๆ เจ้าลาเต้ อยู่บ่อยครั้ง จนถึงกับไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับสายพันธุ์สุนัขมาอ่านหลายเล่ม และจุ๊ก็สรุปกับตัวเองว่า ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ นี่แหละที่เหมาะสุด

สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ นั้นมี 3 สี คือ สีดำ สีฟางข้าว และสีน้ำตาลช็อกโกแลต ซึ่งตอนนั้นสีนี้ยังไม่มีแพร่หลายในเมืองไทย ด้วยความที่จุ๊อยากเลี้ยงสุนัขแบบลาเต้แต่ไม่อยากให้เหมือนกันเกินไป จึงเสาะหาฟาร์มที่มีสีนี้ และบังเอิญมากว่าหนึ่งในฟาร์มที่ว่า เป็นลูกค้าที่ทำงานในองค์กรที่จุ๊กำลังติดต่องานด้วยพอดี การนัดดูตัวถึงศรีราชา จ.ชลบุรี จึงเกิดขึ้น

 

ที่มาของชื่อเจอร์นี่ หรือ เจ๋อ

จากที่ตั้งใจจะไปเพียงดู ๆ ก่อน แต่เมื่อเจอกันครั้งแรก ก็รู้สึกว่ามีตัวอะไรสีเข้มๆก็วิ่งแจ้นมาทางจุ๊ แต่ไม่หยุด วิ่งเลยไปกินน้ำที่บ่อบัว แล้วก็วิ่งหน้าส่ายกลับมา ต้องใช้สองมือประคองหัวเพื่อจะได้เห็นหน้าชัด ๆ ด้วยวัยสามเดือนที่หน้าเริ่มยาว แลดูคล้ายหมาไทยมากกว่าลูกหมาลาบราดอร์ พอมองเห็นตาแป๋ว ๆ ที่ดูมีพลังงานล้นเหลือก็รู้สึกถูกชะตา ในที่สุดจุ๊ก็อุ้มเธอกลับมาด้วย ระหว่างขับรถกลับบ้านพลางจุ๊คิดตั้งชื่อไปพลาง และด้วยเหตุผลที่ว่าวันนี้มาศรีราชา อีก 5 วันต้องไปทำงานที่เชียงใหม่ และยังมีคิวงานต้องเดินทางไปที่โน่นที่นี่จ่อรออยู่ จึงคิดตั้งชื่อว่า เจอร์นี (Journey) ซึ่งหมายถึงการเดินทาง และตั้งชื่อเล่นว่า เจ๋อ นับแต่นั้นมาจุ๊จะเรียกเจอร์นี่เมื่อสื่อสารด้วย และจะเป็นเจ๋อ เมื่อถูกพูดถึง เจอร์นี่ฉลาดมากแต่มีความเปิ่นเซ่อซ่า และเป็นหมาบ้าพลัง ใจดี ขี้เล่นรักทุกคนตามสายพันธุ์ของเธอ

 

เจอร์นี่มอบพลังบวกและความสุขให้ทุกคน

จุ๊บอกว่า Journey คือ ความสุข เจ๋อนับเป็นหมาตัวแรกที่จุ๊เลี้ยงเองจริงจัง เจ๋อคือส่วนหนึ่งในชีวิตของจุ๊ การมีเจ๋อก็เหมือนมีเด็กเล็กในบ้าน แม้ต้องดูแลทุกอย่างแต่กลับไม่รู้สึกว่าเป็นภาระเลย

 

เจ๋อเป็นหมาตะกละ เป็นลักษณะตามสายพันธุ์ แต่จุ๊บอกว่าเจ๋อตะกละเป็นพิเศษ สองวันแรกที่พาเจ๋อมาเป็นสมาชิกในครอบครัว เจ๋อมาจ้องสะกดจิตขอมีส่วนร่วมในอาหาร แล้วเจ้าของก็พ่ายแพ้ส่งกุ้งให้ 1 ชิ้น ทำให้คืนนั้นเจ๋อท้องเสีย จากเดิมที่จัดห้องชั้นล่างให้นอน เพราะได้คำแนะนำว่าควรเลี้ยงลาบราดอร์ในบ้านแต่อย่าเลี้ยงในห้องนอนเพราะจะโดนยึดเตียง ทำให้จุ๊จำเป็นต้องนำเจ๋อขึ้นไปดูแลในห้องนอน นับแต่นั้นเป็นต้นมา เจ๋อจึงได้ครองห้องนอนและครองเตียงในที่สุด

จุ๊เล่าให้ฟังว่าตอนไปเชียงใหม่ “เดิมแม่บ้านจัดที่ให้เรานอนชั้นบน แต่เราไม่อยากปล่อยเธอไว้ตัวเดียวเพราะอาการท้องเสียยังไม่หายดี จึงขอให้ปูฟูกให้เรานอนด้วยกันที่ชั้นล่าง โดยจัดที่ให้เธอนอนตรงมุมห้อง กลางดึกคืนนั้นเรานอนหลับ ๆ ตื่น ๆ เพราะความหนาว แล้วเราก็รู้สึกว่ามีอะไรนุ่ม ๆ มุดลอดผ้าห่มมาซุกอยู่ตรงปลายเท้า สักพักเราได้ยินเสียงหายใจเบา ๆ สม่ำเสมอ หมาเจ๋อนอนขดตัวหลับอยู่ตรงเท้าเราทั้งคืนอย่างวางใจและเจียมตัว” เจ๋อจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ปลายเตียงและเลื่อนฐานะมานอนขวางเตียงรึหนุนหมอนด้วยในเวลาต่อมา

 

นับวันเจ๋อโตขึ้น ความผูกพันระหว่างจุ๊กับเจ๋อก็มีมากขึ้น เจ๋อน่ารัก นิสัยดี ทำให้จุ๊หลงเสน่ห์เจ๋อขึ้นมาเรื่อย ๆ เจ๋อเป็นสุนัขฉลาด หลักแหลม เป็นมิตรกับคนได้ง่าย ขี้ประจบเอาใจ เจ๋อมีเพื่อนสนิทเป็นลาเต้ สุนัขเพศผู้ของเพื่อนบ้าน เจ๋อเป็นที่รักของหลายคนในหมู่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รปภ. และไปรษณีย์ พนักงานในบริษัทรักเจ๋อมีความสุขมากเวลาเจ๋อไปทำงานด้วย แม้กระทั้งลูกค้าของจุ๊ที่เป็นระดับผู้บริหารก็เคยให้พาเจ๋อเข้าห้องประชุมด้วย เพื่อนๆที่แวะมาเยี่ยมจุ๊ จริงๆแล้วมาเยี่ยมเจ๋อ เวลาจุ๊กลับดึก เพื่อนบ้านจะมาพาเจ๋อไปช่วยดูแลให้อาหาร พาเจ๋อเดินเล่น เก็บอึให้ ถ้าไปต่างประเทศพาเจ๋อไปด้วยไม่ได้น้องและหลาน ซึ่งอยู่คนละบ้านจะมาอยู่ดูแลให้อย่างเต็มใจ เจ๋อได้ทยอยเก็บหัวใจของคนที่เข้ามารายล้อมชีวิตเธอทีละคนสองคน

เมื่อโตเต็มวัยเจ๋อก็ยังคงพกความขี้เล่น มีความกระตือรือร้น มีพลัง เรียนรู้เร็ว มีสมาธิกับสิ่งที่ผู้คนสื่อสารด้วย ทุกคนพูดกับเจ๋อเหมือนพูดกับคน วันหนึ่งเพื่อนบ้านมาบอกว่าเจ๋อดูปฏิทินเป็น! เพราะทุกวันวันอาทิตย์เจ๋อจะต้องมาเห่าเรียกขอเข้าไปเล่นด้วย ซึ่งพอมาสังเกตก็พบว่าจริง วันอื่นเธอไม่ทำ เจ๋อทำสิ่งต่างๆได้เองโดยไม่ต้องสอน เช่นการลุก เดิน นั่ง คอย แม้การคาบสายจูงตัวเอง มีเรื่องเดียวที่เพื่อนบ้านเจ้าของลาเต้ขอไปสอน ใช้เวลาครึ่งวัน คือคำว่า “ขอมือ” เจ๋อจึงใช้เทคนิคนี้ขอขนมผู้คนเสมอ

 

ปกติจุ๊ไม่ดุเจ๋อเลย ยกเว้นครั้งหนึ่งที่ ตอนเล็ก ๆ เจ๋อเคยแอบขโมยกินเนื้อเป็ดที่จุ๊แกะวางไว้บนโต้ะ จริงๆก็คือแกะให้เจ๋อนั่นแหละ แต่เดินไปล้างมือก่อน พอเดินกลับมาเหลือแต่จานเปล่า พอดุว่าใครทำ ทำแบบนี้จะไม่รักแล้ว เจ๋อก็หลบตาสำนึกผิดมาก หลังจากนั้นมา แม้มีอาหารวางไว้บนโต๊ะ บนเก้าอี้ ในระดับที่เจ๋อเข้าถึง เจ๋อก็จะเพียงนั่งรอในระยะใกล้ ๆ ด้วยสายตาเว้าวอน สลับกับเบือนหน้าหนี แต่น้ำลายไหลพราก นำมาซึ่งความขบขันแก่คนในครอบครัวแต่ถ้าวางจานบนพื้นเมื่อไหร่เจ๋อจะถือสิทธิเคลมว่าเป็นของเธอทันที

 

จุ๊เล่าว่าในวันหยุดแม่และน้อง ๆ ที่แม้จะอยู่อีกบ้าน ชอบมารวมตัวที่บ้านเธอ เพราะเจ๋อ ทุกคนมีความสุขที่ได้เล่น ได้กอด ได้แกล้งเจ๋อด้วยเกมฝึกสมองต่าง ๆ ที่เราคิดขึ้นเอง แล้วก็หัวเราะได้ทุกครั้งที่เห็นสีหน้าประมวลความคิดจะเอาชนะของเจ๋อ และเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของบ้านนี้คือ ปาร์ตี้งานวันเกิดเจ๋อที่เราจะไปฉลองกันที่หัวหินให้เจ๋อได้เล่นน้ำทะเลที่เธอโปรดปราน

เจ๋อชอบที่ได้รับคำชื่นชม “เด็กดี สาวสวย สุดยอดหมาแห่งปี” เมื่อได้ยินคำเหล่านี้เธอจะโบกหางอย่างมีความสุขมาก เจ๋อมีพลังบวกในตัวเองอย่างล้นเหลือ จุ๊พาเจ๋อไปยังทุกที่ที่จุ๊ไป เจ๋อโตมากับออฟฟิศที่ทำงานของจุ๊ เจ๋อตามจุ๊ตะลอน ๆ ไปทำงานตามต่างจังหวัดต่าง ๆ แล้วแต่เจ้านายจะพาไป คนรอบข้างไม่มีใครไม่รักเจ๋อ แม้แต่คนแปลกหน้าตามชุมชนต่าง ๆ ที่จุ๊ลงพื้นที่ เจ๋อรักการผจญภัย และชอบน้ำมาก สามารถเล่นน้ำได้ตลอดทั้งวัน

 

เจ๋อทำให้จุ๊นิสัยเปลี่ยนไป

“มีคนเคยบอกเราว่า นิสัยเราเปลี่ยนไปตั้งแต่มีเจ๋อเข้ามาในชีวิต เราอ่อนโยนขึ้น เปิดใจที่จะคุยกับคนแปลกหน้ามากขึ้น ซึ่งเพื่อนเราบอกว่าเราเป็นคนดุ ทำงานจริงจัง ทำให้บางครั้งบรรยากาศเครียด แต่ตั้งแต่มีเจ๋อ เราสามารถเล่นกับเจ๋อและทำงานไปด้วย ทำให้มีชีวิตชีวา” เจ๋อแป็นตัวเชื่อมที่ดีที่ทำให้จุ๊ได้คุยกับเพื่อนบ้านเรือนเคียงมากขึ้น คุยกับรปภ. คุยกับไปรษณีย์ คุยแม้กับคนที่ไม่รู้จักที่มักเข้ามาทักทายเจ๋อ และมีเรื่องเล่าไม่รู้จบกับคนรู้จักและรักเจ๋อ

สุขภาพของเจ๋อ กับเหตุผลของผ่าตัดส่องกล้อง

ตอนนั้น เจอร์นี่ อายุ 11 ขวบ สุขภาพแข็งแรง ออกกำลังกายด้วยการเดินทุกวันและว่ายน้ำอย่างน้อยเดือนละหนึ่งถึงสองครั้ง และพบแพทย์เฉพาะทางตามนัดเพื่อติดตามดูแลสุภาพตามวัย ต่อมาคิดว่าจะเพิ่มความถี่ในการว่ายน้ำจึงได้ปรึกษาหมอกระดูกและข้อจากรพส. แห่งหนึ่ง ซึ่งแนะนำว่าหากต้องการว่ายน้ำทุกอาทิตย์ ควรตรวจสุขภาพหัวใจเนื่องจากอายุมากแล้ว โดยไม่ได้แนะนำว่าให้ตรวจที่ไหน

ต่อมาจุ๊ได้เล่าเรื่องนี้กับหมอผิวหนังของรพส. มีชื่อแห่งหนึ่งที่สาขาแถวบ้าน ที่เจอร์นี่รักษาด้วยประจำ หมอผิวหนังแนะนำและนัดหมายให้ไปตรวจหัวใจที่สำนักงานใหญ่ ผลตรวจหัวใจแข็งแรงดี แต่หมอหัวใจสังเกตเห็นฝ้าขาวที่ปลายปอดจากฟิล์มเอ็กซเรย์ จึงแนะนำให้กลับมาเอ็กซเรย์ปอด และทำอัลตร้าซาวด์ อีกครั้ง

 

หมอหัวใจแจ้งว่าพบก้อนเนื้อขนาด 3x3.5 ซม. ซึ่งอาจเป็นเนื้องอก หรือร้ายแรงสุดคือมะเร็งที่ปลายปอด ทั้งนี้ไม่พบการแพร่กระจายของก้อนเนื้อ
จุ๊ได้บอกเจตนารมณ์ในทันทีที่ทราบว่าเจอร์นี่มีเนื้องอกว่า เราได้ดูแลเจอร์นี่มาอย่างดี แม้จะแข็งแรงแต่แก่แล้ว เจ้าของต้องการขอ “คำแนะนำเพื่อให้สุนัขมีคุณภาพชีวิตที่ดี” เท่านั้น ไม่ต้องการรักษาเพื่อยื้อชีวิต

ในที่สุดจากการแนะนำของหมอหัวใจ เจอร์นี่ได้วางยาทำ CT Scan จากนั้นผ่าตัดปอดแบบส่องกล้อง”เพื่อเอาชิ้นเนื้อมาตรวจ” โดยหมอหัวใจเจ้าของไข้ แจ้งว่าจะเลือกหมอผ่าตัดที่เป็นผู้เชี่ยวชาญการผ่าส่องกล้อง หมอผ่าตัดไม่แจ้งข้อมูลด้านความเสี่ยง ชักจูงให้ผ่าตัดโดยบอกว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัย ไม่เสียเลือด 3 วันกลับบ้านได้ 3 อาทิตย์ฟื้นตัวเป็นปกติ เจ้าของได้ซักถามถึงโอกาสเสี่ยงและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นแต่หมอผ่าตัดได้ตอบแก้ทุกประเด็นที่ไม่สบายใจ จุ๊จึงเชื่อและวางใจว่าการผ่าตัดครั้งนี้ปลอดภัยแน่นอน

เดิมทางรพส.ประเมินค่าผ่าตัดแบบส่องกล้องไว้ที่ 35,000 บาท แต่วันที่นำเจอร์นี่มาเตรียมตัวผ่า ทางรพส.ได้แจ้งราคาใหม่ว่าอยู่ระหว่าง 85,000-100,000 บาท โดยไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้

เจอร์นี่เสียชีวิตในการผ่าตัด หมอผ่าตัดแจ้งว่าเสียชีวิตเพราะช็อคจากการเสียเลือด เนื่องจากอุปกรณ์ไปโดนเส้นเลือดดำที่ไปเลี้ยงหัวใจ ได้พยายามกู้ชีพแล้วแต่ไม่สำเร็จ ระหว่างที่นั่งรอร่างเจอร์นี่ หมอหัวใจเจ้าของไข้ ได้นำมือถือที่ถ่ายภาพชิ้นเนื้องอกที่ปอดมาให้จุ๊และน้องสาวดู พยายามบอกว่าชิ้นเนื้อไม่เรียบเท่าที่คิด ต่อมน้ำเหลืองโตกว่าปกติ ซึ่งการนำภาพชิ้นเนื้อปอดมาให้ดูนั้น เป็นการกระทำที่ไม่เกี่ยวกับขั้นตอนการรักษา เพราะเจอร์นี่เสียชีวิตก่อนแล้ว

 

ก่อนการผ่าตัด หมอที่ผ่าตัดเจอร์นี่ ที่ทางรพส.แจ้งว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ แจ้งกับเจ้าของว่าไม่ต้องกังวล ตนได้สั่งอุปกรณ์มาอย่างจัดเต็มอะไรไม่ใช้ไม่คิดเงิน และรพส.นี้เป็นที่เดียวที่มีเครื่องมือ แม้ รร.แพทย์ จุฬา เกษตร ก็ยังไม่มี และพูดอย่างภูมิใจว่าเคสเจอร์นี่เป็นการผ่าปอดแบบส่องกล้องเคสที่ 3 ของประเทศไทย จุ๊จึงถามว่าแล้วที่บอกชำนาญคืออะไร หมอผ่าตัดตอบว่าที่ทำบ่อยเป็นเคสหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจ ทำให้จุ๊และน้องสาวเข้าใจว่าหัวใจคงยากกว่า และเมื่อเห็นว่าเจ้าของอาจยังกังวลกับข้อมูลเพิ่งได้รับรู้จึงพูดต่อว่า ผ่าแล้วอย่างน้อยเจอร์นี่จะอยู่ได้ไม่ต่ำกว่า 2 ปี แต่ถ้าไม่ผ่านับเดือนรอได้เลย

-1 สัปดาห์หลังการเสียชีวิต โรงพยาบาลสัตว์ส่งเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นหมออีกคนมาเจรจา เริ่มต้นประโยคว่า หมอที่ผ่าตัดคงได้แจ้งแล้วว่าการผ่าปอดแบบส่องกล้องมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะมีความซับซ้อนมาก ต้องผ่านเส้นเลือดใหญ่และอวัยวะสำคัญ ซึ่งจุ๊และน้องสาวได้ตอบว่าไม่เคยรับทราบข้อมูลเหล่านี้เลย สัตวแพทย์ที่มาเจรจาจึงไม่พูดเรื่องนี้ต่อ

-2 สัปดาห์หลังการเสียชีวิต น้องสาวจุ๊ได้ไปที่ รพส.สำนักงานใหญ่ เพื่อขอใบรายงานการรักษา ทางรพส.ยังไม่ออกให้ในวันนั้นโดยแจ้งว่าต้องให้หมอเจ้าของไข้เซ็น 2 วันหลังจากนั้น จุ๊ได้รับเอกสารสรุปผลการรักษา 3 แผ่น ไม่มีลายเซ็นสัตว์แพทย์ ในเอกสารระบุว่าได้แจ้งเจ้าของว่าการทำ thoracoscope มีความเสี่ยงมาก และเจ้าของตัดสินใจให้ผ่า และแจ้งสาเหตุการเสียชีวิตว่า Thoracoscopy> สุนัขเสียชีวิตด้วยภาวะความเสี่ยงจากการผ่าตัดเนื้องอกที่ปอด จุ๊ได้มาทราบภายหลังว่าสัตวแพทย์ผู้ที่จัดทำเอกสารสามแผ่นนี้ ไม่ใช่สัตวแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาเจอร์นี่แต่ประการใด

 

-3 สัปดาห์หลังการเสียชีวิต จุ๊ได้พบเจ้าของและผู้บริหารสูงสุดของ รพส. พร้อมคณะแพทย์ พบว่าเป็นการพูดคุยที่ไม่ได้รับความกระจ่างเรื่องข้อมูลการเสียชีวิต และพบว่าผู้บริหารรพส. วางตัวเป็นคนกลางราวกับเป็นกรณีพิพาทระหว่างสัตว์แพทย์ที่ผ่าตัดกับเจ้าของ ส่วนค่าชดเชยใด ๆ จะเป็นความรับผิดชอบที่สัตวแพทย์ต้องจ่ายเอง โดยไม่เกี่ยวกับรพส. ทั้งที่จุ๊เลือกมารพส.แห่งนี้เพราะเชื่อถือในแบรนด์ ว่าจะได้สิ่งที่ดีมีมาตรฐานสมราคาที่จ่าย

จากการพูดคุยในวันนั้นพบว่านอกจากหมอผ่าตัดที่พูดถึงความผิดพลาด รวมทั้งยอมรับว่าที่ไม่แจ้งข้อมูลด้านความเสี่ยง ด้วยได้รับข้อมูลจากทีมงานว่าเจ้าของต้องการผ่าตัดแน่ ๆ จึงพยายามพูดแต่ข้อดีของการผ่าส่องกล้องซึ่งดีกว่าผ่าเปิดอก ซึ่งจริง ๆ แล้วจุ๊ไม่เคยมีความคิดจะนำสุนัขอายุมากมาผ่าเปิดอก หรือผ่าด้วยวิธีใดก็ตามเพราะสุนัขยังไม่มีอาการฉุกเฉินสำคัญจำเป็นใด ๆ ที่ต้องเร่งผ่าตัด ที่จุ๊ตัดสินใจทำเพราะเชื่อว่าปลอดภัย ไม่เสี่ยงแน่นอน ส่วนหมอหัวใจเจ้าของไข้ดูมีความกังวลและพยายามบิดถ้อยคำในการให้ข้อมูลระหว่างการเจรจา

 

- 7 สัปดาห์หลังการเสียชีวิต จุ๊ได้รับทราบข้อมูลว่า เลือดสำรองกรณีฉุกเฉินที่ทาง รพส.จัดหาให้ จำนวน 1.9 ลิตร ในราคารวม 17,565 บาท มีปริมาณไม่พอสำหรับการกู้ชีพเจอร์นี่ ดังนั้นเมื่อเกิดการผ่าตัดผิดพลาด จึงไม่อาจกู้ชีพเจอร์นี่ไว้ได้ ซึ่งได้สอบถามจากหมอหลายคนรวมทั้งอาจารย์หมอผ่าตัดที่สอนในโรงเรียนแพทย์ แล้วได้ข้อมูลว่า ถ้าคิดว่าการผ่าส่องกล้องไม่เสียเลือด ปริมาณเลือด1.9 ลิตร มากเกินความจำเป็นที่เจ้าของต้องจ่ายเพื่อเตรียมการ แต่ถ้าเกิดปัญหาจากกรณีอุปกรณ์ตัดโดนเส้นเลือดดังกล่าว ก็เป็นปริมาณที่ไม่เพียงพอในการกู้ชีพ

- เมื่อมาตรวจดูใบเสร็จรับเงินค่าเลือดสำรองที่จ่ายไป พบว่า ทางรพส.ใช้คำว่า ค่าวิเคราะห์แล็ป ไม่มีคำว่าเลือดหรือโลหิตปรากฎในใบเสร็จรับเงิน

 

สู้เพื่อต้องการใช้สิทธิทางกฎหมาย และรณรงค์ให้สังคมตระหนักไม่ให้เกิดซ้ำ
จุ๊เล่าให้ฟังว่าสาเหตุที่ตัดสินใจฟ้องไม่ใช่ขอความยุติธรรมให้เจ๋อ ไม่ใช่ต้องการเงิน เพราะเงินซื้อเจ๋อกลับมาไม่ได้ ซื้อความสุขที่เจ๋อเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ให้ความสุข ความวางใจ และรักอย่างไม่มีเงื่อนไขของเจ๋อได้ แต่สู้เพราะต้องการใช้สิทธิทางกฎหมาย และรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงเรื่องราวแห่งความผิดพลาดถึงชีวิต เพื่อจะเป็นบทเรียนไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำ ไม่ต้องมาโทษตัวเองว่าทำไมจึงเชื่อและวางใจในข้อมูลด้านเดียว จึงส่งสุนัขที่เป็นสมาชิกในครอบครัวไปตาย ดังนั้นนี่จึงเป็นการรณรงค์ที่หวังจะให้เกิดประโยชน์และเกิดการเปลี่ยนแปลงในบ้านเมือง การกำกับดูแล รพส. ควรมีมาตรการเรื่องธรรมาภิบาลด้วย เพื่อจะได้หยุดน้ำตาของเจ้าของสัตว์เลี้ยงคนต่อไป.