กสิกร ปรับเข็มทิศปล่อยกู้ธุรกิจฟื้นฟูโลก ครึ่งปียอดรวม 1.9หมื่นล้านคาดสิ้นปีแตะ2.5หมื่นล้าน

by ThaiQuote, 7 กันยายน 2566

เคแบงก์จัดพอร์ตสินเชื่อ ตามโรดแมปการพัฒนายั่งยืนUN ตั้งเป้าสู่การปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในองค์กร ภายในปี 2573 หรือ 7 ปีข้างหน้า พร้อมส่งเสริมลูกค้าธนาคารปรับตัว กระโดดหนุนสินเชื่อธุรกิจใหม่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ครึ่งแรกของปี2566 ปล่อยกู้ทั้งในประเทศและAEC+3 รวม 19,400 ล้านบาท คาดสิ้นปีทะลุ 25,000 ล้านบาท เป้าหมายระยะยาว ขยายพอร์ตสินเชื่อรวม 1-2 แสนล้านบาทภายใน 7 ปี (ปี 2573)

 

 

ปรากฏการณ์โลกเผชิญกับภัยพิบัติ และ สภาพอากาศแปรปรวนถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น เช่น เกิดเอลนีโญในปี 2566 สร้างความเสียหายต่อเกษตรกรไทยมูลค่ากว่า 48,000 ล้านบาท ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของผู้คนอย่างต่อเนื่อง

สิ่งเหล่านี้ ทำให้ภาคธุรกิจไทยต้องปรับตัวเพื่อตอบรับมาตรการใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น อาทิ การประกาศ จัดกลุ่มธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Thailand Taxonomy) ของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นการสร้างมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมของไทย เพื่อให้เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว สำหรับธุรกิจที่ต้องการปรับตัวมุ่งลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

อีกทั้งยังมี มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป ที่กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้าที่จะนำเข้าไปในอียู เริ่มประกาศใช้เดือนตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

ถือเป็นช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจเดิมไปสู่การสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่คิดขึ้นเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีโอกาสในการได้รับเงินลงทุนจำนวนมหาศาล ทั้งจากนักลงทุนทั่วไป Venture Capital ธนาคาร และสถาบันการเงิน


นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยได้วางนโยบายในการขับเคลื่อนการทำงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากทั้งภายในทำงานของธนาคาร และการเข้าไปมีบทบาทให้การสนับสนุนเงินทุนกับภาคธุรกิจ โดยอาศัยความสามารถหลัก (Key Capabilities) ในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ คือ การสร้างระบบพื้นฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ การเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรและลูกค้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการปรับเปลี่ยนกระบวนการดำเนินงานภายในและเชื่อมโยงกับภายนอกองค์กร เพื่อไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero)



1.เป้าหมายเรื่องปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) ในพอร์ตโฟลิโอ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานในธุรกิจ (Scope 1และScope2) ดยธนาคารได้เริ่มต้นปรับกระบวนการทำงาน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และส่งเสริมให้พฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายในองค์กร ดังนี้ คือ
-การทยอยเปลี่ยนรถยนต์ของธนาคารจากรถยนต์สันดาปเป็นรถยนต์ไฟฟ้า จำนวน 175 คัน ในปี 2566 และจะทำการเปลี่ยนรถยนต์จนครบทั้งหมดก่อนปี 2573 การใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมของน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ และปัจจุบัน ธนาคารได้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่อาคารสำนักงานหลักของธนาคารครบทั้ง 7 แห่ง และพื้นที่สาขา 7 สาขา โดยตั้งเป้าไว้จะทยอยติดตั้งโซลาร์เซลล์ได้ครบทุกสาขาที่เป็นพื้นที่ของธนาคารรวม 278 แห่ง ภายใน 2 ปีข้างหน้า
-การปรับเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ ปรับกระบวนการทำงานและการให้บริการของธนาคารไปสู่ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งกำหนดมาตรฐานการจัดกิจกรรมขนาดใหญ่ของธนาคารให้เป็นงานปลอดคาร์บอน (Carbon Neutral Event)
-การจัดการขยะในอาคารสำนักงานหลักไปสู่หลุมฝังกลบเป็นศูนย์ สำหรับ 4 อาคาร ภายในปี 2566 นี้ โดยธนาคารติดตั้งถังขยะคัดแยกขยะ 6 ชนิดหลัก พร้อมกำหนดระบบการจัดการขยะของแต่ละถังอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมตามหลัก Zero Waste ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางสุดท้าย ควบคู่กับการส่งเสริมบุคลากรและทุกภาคส่วนให้มีความรู้และเกิดพฤติกรรมที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องการแยกขยะอย่างเป็นระบบ เพื่อทำให้วัสดุถูกนำไปรีไซเคิลได้มากที่สุด ลดการผลิตใหม่ซึ่งเป็นต้นทางของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

2.เป้าหมายเรื่องปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในพอร์ตโฟลิโอ (Scope 3) เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมภายนอกองค์กร คือ การสนับสนุนสินเชื่อลูกค้าด้านสิ่งแวดล้อม สอดคล้องตามเป้าหมายของประเทศไทย ผลการทำงานครึ่งแรกของปี 2566 ธนาคารทำแผนกลยุทธ์การลดก๊าซเรือนกระจกรายอุตสาหกรรม (Sector Decarbonization Strategy) รวมเป็น 4 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ กลุ่มถ่านหิน และกลุ่มซีเมนต์

ทั้งนี้ ธนาคารจะเข้าไปทำงานอย่างใกล้ชิดกับธุรกิจในอุตสาหกรรมหลักเหล่านี้เพิ่มขึ้น เพื่อช่วยธุรกิจวางแผนงาน ซึ่งจะเพิ่มโอกาสแก่ธุรกิจด้วยเครื่องมือและโซลูชันหลากหลายตอบโจทย์แบบเจาะลึกรายธุรกิจ ควบคู่กับการจัดสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นภาคธุรกิจให้ปรับตัวสอดรับกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน (ESG) รวมทั้งคว้าโอกาสที่เกิดขึ้นในการเปลี่ยนผ่านในครั้งนี้

3.เป้าหมายสนับสนุนสินเชื่อและการลงทุนเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Financing (Loan) and Investment) ผลการทำงานครึ่งแรกของปี 2566 ธนาคารส่งมอบเม็ดเงินการลงทุนไปแล้วรวมกว่า 19,400 ล้านบาท ประกอบด้วย สินเชื่อสีเขียวสำหรับลูกค้าในไทยและภูมิภาค AEC+3 สินเชื่อเพื่อการประหยัดพลังงาน และเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืน รวมทั้งการลงทุนโดยบีคอน วีซี ผ่าน Beacon Impact Fund ที่มุ่งเน้นการลงทุนโดยตรงในบริษัทสตาร์ทอัพหรือผ่านกองทุนเงินร่วมลงทุนทั่วโลก เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโซลูชั่นสร้างผลกระทบเชิงบวก พร้อมศักยภาพที่จะขยายผลไปในวงกว้าง

ทั้งนี้ ธนาคารกำหนดเป้าหมายสินเชื่อและการลงทุนเพื่อความยั่งยืนทั้งปี 2566 ที่ 25,000 ล้านบาท และวางเป้าหมายระยะยาว เป็นยอดรวมที่ 1-2 แสนล้านบาท ภายในปี 2573

ธนาคารวางเป้าหมายการขับเคลื่อนองค์กรเพื่อความยั่งยืน จะต้องมีการการพัฒนาบริการมากกว่าการบริการทางการเงิน ( Beyond Financial Solutions) มีความเข้าใจและเข้าไปช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงไลฟ์สไตล์สีเขียว (กรีน) เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ง่ายยิ่งขึ้น

สำหรับผลการทำงานในครึ่งแรกปี 2566 ธนาคารมีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ทั้งโซลูชันเพื่อส่งเสริมเรื่องการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในภาคที่อยู่อาศัย โดยธนาคารได้ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) พัฒนาแอปพลิเคชัน “ปันไฟ” ผู้ช่วยจัดสรรไฟอัจฉริยะที่ช่วยให้การติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาคืนทุนได้เร็วขึ้น รวมทั้งการส่งเสริม EV Bike Ecosystem โดยธนาคารอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เช่าจักรยานยนต์ไฟฟ้าในการเช่าใช้งานผ่าน K PLUS Market และให้บริการจุดเปลี่ยนแบตเตอรีที่สาขาของธนาคาร ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด สร้าง Green Ecosystem ให้เกิดขึ้นจริง

นางสาวขัตติยา กล่าวตอนท้ายว่า การขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อมของธนาคาร เป็น 1 ใน 3 มิติของการทำงานตามหลักการธนาคารแห่งความยั่งยืน (Bank of Sustainability) ที่ธนาคารกสิกรไทยดำเนินการครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และธนาคารมุ่งส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ เพราะเป็นงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้งภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล นักลงทุน ภาคธุรกิจ ผู้บริโภค และสถาบันการเงิน ทุกฝ่ายล้วนมีส่วนสำคัญในการช่วยให้โลกใบนี้เปลี่ยนผ่านไปได้ จึงขอให้ทุกคนร่วมกันลงมือทำอย่างจริงจัง เพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ที่ความสำเร็จไม่ใช่เพียงตอบโจทย์ความอยู่รอดในวันนี้ แต่หมายถึงการตอบรับโอกาสที่จะเติบโตในระยะยาว และสร้างโลกที่ยั่งยืนไปด้วยกัน