ผ่าแนวคิดวงการธุรกิจท่องเที่ยว สานโมเดลธุรกิจยั่งยืน ปรับบริการรับยุคโลกเดือด

by ThaiQuote, 11 มีนาคม 2567

วงการท่องเที่ยว ปลุกพลังปรับตัวยุคโลกเดือด ธุรกิจบริการอยู่รอดคู่ดูแลสิ่งแวดล้อม กลุ่มสายการบิน IATA เผย 3 แผน บินลดคาร์บอนจัดหาน้ำมัน SAF

ด้าน อพท. แนะจัดสรรทรัพยากรเป็นมรดกส่งต่อลูกหลาน บูรณาการ รัฐ-เอกชน-ท้องถิ่น รับนักท่องเที่ยวคุณภาพมาเยือน แกะรอยต้นแบบ ท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก สวิตเซอร์แลนด์ บุกเบิกโมเดล “Swisstainable” ต่อ ยอดธุรกิจท้องถิ่น ส่งต่อพลังธรรมชาติผู้มาเยือน 

 



ผ่าความคิดคนในวงการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ด้านซัพพลายไซส์ จะตอบโจทย์อย่างไร ในยุคโลกร้อน นักท่องเที่ยวตื่นตัว ถามหาธุรกิจมีจิตสำนึกต่อโลก ผ่านเวทีเสวนา “เคทีซีปลุกกระแสท่องเที่ยวยั่งยืนจากไทยสู่เวทีโลก”  โดยมีพันธมิตร ในอุตสาหกรรมการบินและผู้ประกอบการโรงแรม สมาคมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การท่องเที่ยวจากสวิตเซอร์แลนด์ และภาคธุรกิจด้านการท่องเที่ยวจากสวิตเซอร์แลนด์ ผู้นำด้านการจัดการท่องเที่ยวยั่งยืนของโลก ร่วมกันฉายภาพความรู้เทรนด์การท่องเที่ยวในยุคสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว กลายเป็นหนึ่งในผู้ร้าย

 

IATA ร่วมลงนามสายการบิน 

จัดหาSAF น้ำมันไบโอบินลดคาร์บอน  

 

นายยงยุทธ ลุจินตานนท์ ผู้จัดการภูมิภาคประจำประเทศไทย ลาว กัมพูชา และ เมียนมาร์ สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (lATA: International Air Transportation Association) กล่าวว่า สายการบินทั่วโลกได้กำหนดแผนการพัฒนาธุรกิจการบินให้เกิดความยั่งยืน เพื่อร่วมมือไปสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ทั่วโลกภายในปี พ.ศ. 2593 และควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส 

ปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่เป้าหมายมี 4 ส่วน คือ เทคโนโลยีการบิน, การพัฒนาเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน (CCS-Carbon Capture Storage), การบริหารจัดการกระบวนการบริการและโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัย และการจัดหาน้ำมันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 

 

 

ทั้งนี้ประเด็นที่เป็นหัวใจที่มีความเป็นไปได้ในการนำมาดำเนินการคือ การใช้น้ำมันเพื่อการบินยั่งยืน (SAF -Sustainable Aviation Fuel) ซึ่งเป็นน้ำมันจากพืช (Bio Fuel) ที่ผลิตจากผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร หรือ น้ำมันที่ใช้แล้ว ตามแผนของ IATA จะมีการนำSAFมาใช้จะสัดส่วน 62% ภายในปี 2593 หรือปริมาณ 449,000 ล้านลิตร จากปัจจุบันใช้อยู่ที่ 8,000 ล้านลิตร 

“น้ำมันSAF เป็นทางเลือกที่ดีในการไม่ต้องปรับปรุงเทคโนโลยี สามารถผสมกับน้ำมันเครื่องบินทั่วไป แล้วทำการบินได้ ซึ่งเริ่มเห็นแล้วในยุโรป” 

อย่างไรก็ตามปัญหาสำคัญของการน้ำน้ำมันSAF มาใช้อยู่ที่ ความต้องการในสายการบินทั่วโลกมีจำนวนมหาศาล แต่กำลังการผลิต (Supply) ยังมีจำกัด มีเพียงไม่กี่รายที่สามารถผลิตได้ ขณะเดียวกันต้นทุนก็สูงกว่าน้ำมันปกติ 2-5 เท่า รวมถึงการผ่านการรับรอง(Certificate) ผู้ผลิตน้ำมันการเบินที่มีการปลอดภัย และช่วยลดก๊าซเรือนกระจก 

 

“ผู้ผลิตมีจำนวนน้อยหากเทียบกับสายการบินที่ต้องการใช้มหาศาล มีเพียงไม่กี่รายที่ผลิตSAFได้ ดีมาน์มีสูงแต่ซัพพลายยังจำกัด และวัตถุดิบการผลิต ยังไม่เพียงพอ แต่เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับตอนนี้เพระาไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องยนต์ หรือซื้อเครื่องบินใหม่ สามารถผสมกับน้ำมันเครื่องยนต์แบบเดิมได้”  

ปัจจัยขับเคลื่อนที่จะเพิ่มการใช้SAF โดยที่ไม่เพิ่มต้นทุนให้กับสายการบินสูงขึ้น ขณะเดียวกันมีความปลอดภัย โดยผู้ผลิตสามารถแบ่งรับภาระต้นทุนได้ ภาครัฐจะต้องเข้ามาสนับสนุนกระตุ้นให้เกิดการใช้SAF ผ่านนโยบาย สร้างแรงจูงใจทางกฎหมายเพื่อลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ 

“การออกนโยบายพลังงานชัดเจน มีความโปร่งใส และสามารถนำมาทำได้จริง พร้อมกันกับให้สิทธิประโยชน์ผู้ผลิต และผู้ใช้ ไม่ต้องแบกรับต้นและ ซื้อขายได้ในราคาที่ไม่สูงเกินไป จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้SAF มากขึ้น 

 

คาเธย์ มุ่งขับเคลื่อนเดินทางสะดวกคู่ลดคาร์บอน 

 

นางสาวเคอรี่ ลุย ผู้จัดการประจำประเทศไทยและเมียนมาร์ สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค ให้มุมมองถึงแนวทางการสร้างความยั่งยืนของสายการบินว่า เป้าหมายของแบรนด์คือการขับเคลื่อนผู้คนไปข้างหน้าในชีวิต ต้องยอมรับว่าไม่สามารถที่จะหยุดบิน หยุดการเดินทางได้ แต่จะต้องทำให้การเดินทางช่วยอำนายความสะอวกในการเดินทางเกิดขึ้นพร้อมกันกับ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยลง จึงต้องมีบทบาทในการลดการปล่อยคาร์บอน ในหลากหลายวิธีการเพื่อที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้บรรลุเป้าหมายในการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 และนำไปสู่การเดินทางที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำ

 

โดยมีโครงการที่คาเธย์ฯ จะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างการเดินทางลดคาร์บอน มีดังนี้ เช่น 

-โครงการชดเชยคาร์บอนที่ดำเนินการโดยการคำนวณการปล่อยคาร์บอน (Fly Greener)

-โครงการเพิ่มประสิทธิภาพของอากาศยานและการทำงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Corporate Sustainable Aviation Fuel) 

-การใช้ปลอกหมอนและผ้านวมทำจากผ้าฝ้ายที่ยั่งยืน 100% ในชั้นธุรกิจ 

-การใช้ผ้าห่มที่ทำจากขวดพลาสติกรีไซเคิลและพรมจากวัสดุเหลือใช้ไนลอนที่นำกลับมาใช้ใหม่ 

-การลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวบนห้องโดยสารบนเครื่องบินชั้นประหยัด โดยในปี 2565  สายการบิน ฯ สามารถลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวได้ถึง 56% ต่อผู้โดยสาร 1 คน และจะยังคงลงมือทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนต่อไปในปี 2567 

“สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค ได้ดำเนินการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นฟื้นฟูถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติ ตลอดจนรับมือกันแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยสายการบินฯ ได้ปลูกต้นไม้ที่ป่าชายเลนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตั้งแต่ปี 2564 เป็นจำนวนกว่า 21,000 ต้น  และในปี 2567 นี้ สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค ในประเทศไทยก็จะร่วมมือกับเคทีซีในการปลูกต้นไม้ที่ป่าชายเลนในจังหวัดสมุทรปราการจำนวน 4,000 ต้น”

 

อพท.ชี้เทรนด์ท่องเที่ยวสลัดแมสปล่อยปัญหา  

มุ่งเก็บคุณค่ารักษาทรัพยากรสู่คนรุ่นถัดไป 

 

ดร.วาสนา พงศาปาน ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)หรือ อพท. กล่าวว่าเทรนด์การท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน ไม่ต้องการการท่องเที่ยวที่เน้นจำนวนมาก (Mass)  แล้วส่งผลกระทบทำให้ทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม เราจึงเน้นการท่องเที่ยวยั่งยืน ดูแลรักษาพัฒนาทรัพยากรในพื้นที่พิเศษ โดยเก็บทรัพยากร คุณค่าของสิ่งดีงามในท้องถิ่น ไว้ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลาน  เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวมีคุณภาพเข้าท่องเที่ยวในไทยและไปกระจายต่อ

 

 

“หลังจากโควิด19เราพบว่า นักท่องเที่ยวพฤติกรรมเปลี่ยนไป ต้องการเดินทางอิสระมากกว่าเดินทางเป็นกลุ่ม และต้องการแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ สะอาด และปลอดภัย ทั้งโลกหันมาให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวพร้อมกันกับความรับผิดชอบ หากคนในพื้นที่ท่องเที่ยวไม่รักษาทรัพยากรปล่อยให้เสื่อมโทรม ก็ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยว”  

 

ปักหมุด 9 พื้นที่ท่องเที่ยวยั่งยืน 

 

 อพท. ดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลที่จะพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มรายได้และกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนท้องถิ่น โดยทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่พิเศษฯ โดยบูรณาการและร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืน มีความสมดุลใน 3 มิติ ทั้ง“เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม” ภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วม Co-creation & Co-own 

ขณะนี้มี 9 พื้นที่พิเศษฯ ประกอบด้วย 1.หมู่เกาะช้าง 2.เมืองพัทยา 3.สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร 4. เลย 5.เมืองเก่าน่าน 6.เองโบราณอู่ทอง 7.ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา 8.เชียงราย 9.คุ้งบางกะเจ้า ที่ได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน โดยนำหลักเกณฑ์ตามมาตรฐานสากลมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและเกิดผลเป็นรูปธรรมแล้ว ได้แก่ 

1. เกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก (GSTC) ใช้พัฒนาและยกระดับแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่พิเศษฯ จนได้รับรางวัล Green Destinations Top 100 Stories แล้ว 5 แห่ง  

 2. ร่วมขับเคลื่อนเมืองสู่การเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UCCN) เพื่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) แล้ว 4 เมือง   

3. ส่งเสริมมาตรฐานการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (STMS) ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว 86 องค์กร  

4.  เกณฑ์การพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community-Based Tourism หรือ CBT Thailand) ได้พัฒนาและเพิ่มศักยภาพให้แก่ชุมชน CBT เข้าสู่กระบวนการพัฒนาและด้านการตลาด รวมถึงเครื่องมือการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ (Creative Tourism) มาอย่างต่อเนื่องและในปี 2567 ตั้งเป้าหมายสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนในพื้นที่พิเศษไม่น้อยกว่า 60 ล้านบาท  

“อบท. ประสาน ส่งเสริมสนับสนุนให้หน่วยงานเกี่ยวข้องมาบูรณาการ ขับเคลื่อน เราต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนการสร้างแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน ทำเป้าหมายแหล่งท่องเที่ยวให้ชัดเจน ทำให้คนพื้นที่ ทำแหล่งท่องเที่ยว ร่วมมือกันขับเคลื่อนเป้าหมายเดียวกัน “

 

50% ตลาดตะวันตก เลือกแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน

คืนคุณค่าสู่สิ่งแวดล้อม-สังคม 

 

นางสาวสุวิมล งามศรีวิโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย เซเรนาต้า โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กรุ๊ปและตัวแทนสมาคม TEATA สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (สทอ.) กล่าวว่า ปัจจุบันเทรนด์การท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวทั่วโลกเริ่มมองหาการท่องเที่ยวเชิงสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนมากขึ้น โดยผู้ประกอบการและบริษัทนำเที่ยวที่ให้บริการนักท่องเที่ยวต่างชาติ  (Inbound Tour) กว่า 50% ของตลาดนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกจะมีการตรวจประเมินสถานที่พักด้านคุณธรรม  สังคมชุมชน  ความปลอดภัย และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก่อนเซ็นสัญญานำนักท่องเที่ยวเข้าพักสะท้อนให้เห็นว่านักท่องเที่ยวต้องการสร้างประสบการณ์ที่ดีในการท่องเที่ยวโดยเน้นกิจกรรมท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) และคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality)  

 

 

สำหรับโรงแรมในเครือเซเรนาต้า โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กรุ๊ปถือเป็นต้นแบบการท่องเที่ยวยั่งยืน (Sustainable Tourism) ตั้งแต่ปี 2519 โดยให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อสนับสนุนส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เช่น ร่วมจัดตั้งสมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (สทอ.)   ร่วมดำเนินโครงการ TEATA “เที่ยวไทยไร้คาร์บอน 50 เส้นทาง”  (Eco Friendly – Low Carbon)  จัดทำโครงการ Stay Green Stay with SERENATA  ตอบโจทย์ กลุ่มที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวสีเขียว (Green Tourism) โดยการมอบบัตรสมาชิก 

 

สวิตเซอร์แลนด์ ต้นแบบท่องเที่ยวยั่งยืนโลก 

ผ่านแคมเปญ Swisstainable 

 

นางสาวธันย์ชนก น่วมมะโน ผู้แทนประจำประเทศไทย การท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวว่า การท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ได้มีการพัฒนากลยุทธ์และปลูกฝังแนวคิดสวิสเทเนเบิล (Swisstainable) ตั้งแต่ปี 2562 เพื่อสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ยั่งยืนต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยมีเป้าหมายให้สวิตเซอร์แลนด์เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยั่งยืนที่สุดในโลกและเป็นจุดมุ่งหมายของนักเดินทาง ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจของสวิตเซอร์แลนด์ กระจายรายได้ไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นอีกด้วย

 

 สำหรับยุทธศาสตร์ความยั่งยืนของสวิตเซอร์แลนด์(Swisstainable Strategy) ได้สร้างความร่วมมือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ภาครัฐ ฝ่ายบริการได้ผนึกพลังกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งภาคขนส่ง  ภาคอุตสาหกรรม  โรงแรมที่พัก  ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เข้าร่วมแคมเปญสร้างความยั่งยืน โดยใช้สัญลักษณ์สวิสเทเนเบิล (Swisstainable) ปี 2566 ที่ผ่านมามีองค์กรในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์เข้าร่วมทั้งหมด 2,500 องค์กรและตั้งเป้าหมายภายในสิ้นปี 2567 จะมีองค์กรเข้าร่วมเพิ่มขึ้นเป็น 4,000 องค์กร

 

“นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาสวิตเซอร์แลนด์ จะได้เรียนรู้การการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนได้ เช่น การบริโภคผลิตภัณฑ์ ผลผลิตจากท้องถิ่นที่ผลิตในสวิตเซอร์แลนด์  สัมผัสบรรยากาศธรรมชาติของสวิตเซอร์แลนด์อย่างแท้จริงทั้งภูเขา ทะเลสาบ  เลือกการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถยนต์ไฟฟ้า ขนส่งมวลชนสาธารณะ เช่น รถราง มีการเลือกห้องพักอยู่นานขึ้น (Stay Longer) เพื่อซึมซับธรรมชาติ และเพิ่มประสบการณ์ท้องถิ่นในสวิตเซอร์แลนด์ โดยจุดเด่นคือการคงความวิถีชีวิตดั้งเดิม โดยใช้สินทรัพย์จาก “ธรรมชาติเป็นแรงขับเคลื่อนเติมพลังให้ผู้ที่เข้ามาเยือน”  (Our Nature Energizes You.) “ 



รถไฟยุงเฟรา บุกเบิกธุรกิจคิดครบองค์   

ท่องเที่ยว คืนสู่ธรรมชาติ-พัฒนาท้องถิ่น  

 

มิสเตอร์อัวร์ส เคสเลอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการรถไฟยุงเฟรา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวว่า ปัจจุบันพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกเริ่มมองหาการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนมากขึ้น กลุ่มบริษัทรถไฟยุงเฟรา (Jungfrau Railway Group) ต้องการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในยุโรป จึงเริ่มมีการพัฒนามายาวนานตั้งแต่ปี 1908 (พ.ศ. 2451) ในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนจากแหล่งต่างๆมายาวนาน จนปัจจุบันมีแหล่งพลังงานหมุนเวียนหลากหลาย มีการพัฒนาน้ำสะอาดบริการพนักงาน และลูกค้า ที่สำคัญเป็นบริษัทที่ได้รับการจัดทำรายงาน ด้านความยั่งยืน ระดับโลก ตามรูปแบบ GRI  (Global Reporting Initiative (GRI)  ในปี 2566 ที่ผ่านมา 

“การสร้างความยั่งยืนเหมือนการสร้างบ้าน ที่ค่อยรวบรวมองค์ประกอบใช้เวลายาวนาน จึงทำให้มีการวางแผนด้านความยั่งยืนมายาวนานและในปัจจุบันก็ยังมีแผนระยะกลาง และระยะยาว 10ปี ข้างหน้า จะไม่มีการใช้พลังงานจากฟอสซิล หรือ น้ำมัน มาใช้ในกระบวนการผลิต และการขนส่ง จนในปัจจุยันภายในองค์ร มีการปล่อยก๊าซต่ำ จึงขยายความร่วมมือไปสู่การพัฒนาชุมชน” 

 

ภารกิจนิเวศยั่งยืน คืนกำไรสู่ชุมชน 

 

ทั้งนี้ได้กำหนดกลยุทธ์การใช้ทรัพยากรนิเวศอย่างยั่งยืนของธุรกิจ เช่น 

-การใช้รถไฟและกระเช้าลอยฟ้า (Cable Car) ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งหมด 100% 

-เตรียมจัดตั้งกองทุนความยั่งยืนระยะเวลา 10 ปี สำหรับการดูแลหมู่บ้านกรินเดิลวาลด์ (Grindelwald) และหมู่บ้านเลาเทอร์บรุนเนน (Lauterbrunnen) กรุงเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 

-วางแผนสร้างระบบโซลาร์ขนาด 12 เฮกตาร์บนเทือกเขาแอลป์ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตพลังงานให้ได้ 12 กิโลวัตต์ – ชั่วโมงต่อปี เพื่อจัดหาพลังงานให้กับ 3,000 ครัวเรือนในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงที่ราคาไฟฟ้าแพงที่สุดเพราะมีความต้องการใช้มากที่สุด 



3 กลยุทธ์ ปลุกตลาดเที่ยวอย่างตระหนักรู้ 

การเดินทางสร้างประสบการณ์ ค้นความหมายชีวิต 

 

นางสาวพัทธ์ธีรา อนันต์โชติพัชร ผู้บริหาร KTC World Travel Service และการตลาดหมวดสายการบิน “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า KTC World Travel Service หน่วยงานที่ดูแลและให้บริการด้านการท่องเที่ยวให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี ได้วางกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ดังนี้ 

1. การสร้างความตระหนักรู้ให้กับนักท่องเที่ยวกับประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ท้องถิ่น ธรรมชาติและชุมชน ผ่านช่องทางประชาสัมพันธ์ต่างๆ ของเคทีซี เพื่อแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวชุมชน ร้านค้า ร้านอาหารท้องถิ่น ร้านขายของฝาก ที่พักชุมชน ให้กับสมาชิกได้เข้าถึงข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวได้สะดวกมากขึ้น  

2. การจัดทำโครงการนำร่อง “ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนกับ KTC WORLD” ร่วมกับพันธมิตรท่องเที่ยวกว่า 10 รายทั้งในประเทศและต่างประเทศ คัดเลือกผลิตภัณฑ์กรีนโปรดักส์ด้านการทางท่องเที่ยวที่สะท้อนถึงการลดการปล่อยคาร์บอน หรือการเดินทางท่องเที่ยวแบบสาธารณะและชุมชนมากขึ้น  อาทิ บัตรรถไฟ บัตรรถราง รถเช่าไฟฟ้า (EV) และแพคเกจท่องเที่ยวชุมชน  โดยทุกยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีกับกลุ่มผลิตภัณฑ์กรีนโปรดักส์ตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป สมาชิกจะได้รับคะแนนพิเศษ KTC FOREVER 1,000 คะแนน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 

3. การมีส่วนร่วมกับพันธมิตรสร้างประโยชน์และคืนผลประโยชน์สู่ทรัพยากรการท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม อาทิ การร่วมต่อยอดกับสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค ภายใต้โครงการ “บิน1 เที่ยว ปลูก 1 ต้น”   (1 Ticket 1 Tree) ในการพัฒนาความยั่งยืนผ่านการปลูกต้นโกงกางในพื้นที่ป่าชายเลน เมื่อจองตั๋วกับสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค ทุกๆ 1 ใบ ผ่าน KTC World Travel Service เคทีซีจะช่วยสบทบร่วมปลูกต้นไม้เพิ่ม 1 ต้นตลอดปี 2567  

อย่างไรก็ตาม เคทีซีมองว่าหากทุกหน่วยงานร่วมมือกันอย่างจริงจัง จะทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวรายใหม่ๆ พร้อมที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวที่เน้นความยั่งยืนได้หลากหลายและตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภาพรวมนั่นคือการกระจายรายได้อย่างทั่วถึงและไปสู่ชุมชนอันเป็นรากฐานของความยั่งยืนทางเศรษฐกิจให้แข็งแรงได้ระยะยาว  

 

Tag :