กรณีขายหุ้นชินคอร์ปบทสรุปคือกฏหมาย?

by ThaiQuote, 15 มีนาคม 2560

การเรียกเก็บภาษีคุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง เนื่องจากหากผ่านพ้นวันที่ 31 มีนาคม 2560 นี้ หากกรมสรรพากรยังไม่ดำเนินการเรียกเก็บภาษีจากคุณทักษิณ คดีนี้ก็จะขาดอายุความ จะไม่สามารถดำเนินการใดๆกับเงินรายได้ที่เกิดจากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือที่เรียกกันให้สั้นลงว่า"หุ้นชิน"ได้อีกต่อไป ซึ่งประเมินว่ารัฐจะต้องสูญเสียรายได้จากภาษี 5,800 กว่าล้านบาท รวมค่าปรับ 10 ปี ก็ประเมินว่าจะเป็นเงินราวๆ 12,000 ล้านบาท ทำเอากลุ่มผู้ต่อต้านคุณทักษิณ แสดงความโกรธเกรี้ยวกันอย่างกว้างขวาง โดยผู้ที่ตกที่นั่งลำบากก็คือกรมสรรพากร  ถูกวิจารณ์ไปในทำนองทฤษฎีสมคบคิดว่า ปกป้องคุณทักษิณและครอบครัวก็มีเป็นจำนวนไม่น้อย

กรณีจะต้องเรียกเก็บภาษีจากการขาย"หุ้นชิน"หรือไม่เป็นประเด็นที่คาบเกี่ยวกันของ2มิติอย่างชัดเจนประการหนึ่งเป็นมิติทางการเมืองระหว่างฝ่ายไม่เอาคุณทักษิณกับฝ่ายรักคุณทักษิณฝ่ายไม่เอาคุณทักษิณหนุนให้รัฐบาลจัดการเรียกเก็บภาษี หากกรมสรรพากรไม่ดำเนินการก็ให้นายกฯใช้อำนาจหัวหน้าคสช.มาตรา44 เข้าจัดการให้สิ้นเรื่องไป

แต่ฝ่ายรักคุณทักษิณก็บอกว่ารัฐบาลตั้งใจรังแกคุณทักษิณและครอบครัวอย่างไม่เป็นธรรม  คนที่รักคุณทักษิณมากๆบวกลบคูณหารว่าขายหุ้นชินไปได้เงิน70,000กว่าล้านบาทถูกยึดทรัพย์โดยคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงดำแหน่งทางการเมืองไปแล้วกว่า 40,000 ล้าน เหลือเงิน 20,000 กว่าล้าน ถ้ายังต้องเสียภาษีอีก 12,000 ล้าน อย่างนี้ใจคอจะเอาให้หมด 70,000 กว่าล้านเลยใช่ไหม

        แต่เนื่องจากจะเรียกเก็บหรือไม่เรียกเก็บ การจะเกลียดหรือรักคุณทักษิณไม่ใช่ข้อตัดสินอีกมิติหนึ่งที่ทำให้คาราคาซังกันมาจนใกล้จะหมดอายุความ 10 ปี เป็นเรื่องของข้อกฏหมายล้วนๆ

กรณีการขายหุ้นชินเป็นกรณีที่ถูกตรวจสอบอย่างละเอียดยิบภายหลังการรัฐประหารโดยคณะคมช.ของ “บิ๊กบัง”พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน(ที่มีข่าวว่าเพิ่งไปพบกับคุณทักษิณเพื่อความปรองดองมาสดๆร้อนๆ)

        ตรวจสอบจนปปช. สั่งฟ้องให้ยึดทรัพย์คุณทักษิณที่เกิดจากการขายหุ้นชิน ข้อหาทุจริต และพร้อมๆกันก็มีการตรวจสอบเรื่องการเสียภาษีไปพร้อมๆกันด้วย

         แรกทีเดียว คตส.หรือคณะกรรมการตรวจสอบที่ คมช. แต่งตั้งก็ถอดใจแล้วเรื่องการจะเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นชินเนื่องจากเป็นการซื้อขายผ่านตลาดหุ้นซึ่งกฏหมายยกเว้นภาษีการซื้อขายให้แต่ไปพบว่าบุตรชายกับบุตรสาวของคุณทักษิณก่อนจะขายหุ้นให้บริษัทเทมาเส็กของรัฐบาลสิงคโปร์พร้อมๆกับคุณทักษิณและครอบครัวเพิ่งไปซื้อหุ้นชินคอร์ปมาจากบริษัทชื่อเอมเพิลริชซึ่งเป็นบริษัทของคุณทักษิญจดทะเบียนอยูที่หมู่เกาะแห่งหนึ่งที่นิยมจัดตั้งบริษัทกระดาษเพื่อหนีภาษีหรือซุกซ่อนทรัพย์สิน บุตรชายกับบุตรสาวคุณทักษิณซื้อหุ้นชินคอร์ปจากเอมเพิลริชหุ้นละ 1 บาทแล้วขายให้เทมาเส็กหุ้นละ 49 บาทเศษ ธุรกรรมตรงนี้ซึ่งมีมูลค่าราวๆ16,000 ล้านบาทจากกว่า 70,000 ล้านบาท พบว่าจะต้องเสียภาษี ทางกรมสรรพากรในที่สุดก็เรียกเก็บภาษีขายหุ้นชินจากบุตรชายและบุตรสาวของคุณทักษิณต้นเรื่องของภาษีหุ้นชินก็มีที่มาเช่นนี้เอง

         ถามว่าต่อมาทำไมจึงกลายเป็นว่าจะต้องเรียกเก็บจากคุณทักษิณ ตามความเห็นของ สตง. หรือสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน

         ตอบ ก็เพราะว่าระหว่างดำเนินการเรียกเก็บภาษีการขายหุ้นชินจากบุตรชายบุตรสาวคุณทักษิณนั้น ศาลฎีกาได้ตัดสินยึดทรัพย์คุณทักษิณจากการขายหุ้นชินไปกว่า 40,000 ล้านบาทจาก 70,000 ล้าน และในคำตัดสินศาลระบุว่าหุ้นที่ขายให้เทมาเส็กล้วนเป็นของคุณทักษิณ แต่อาศัยชื่อบุตรชายบุตรสาว

         ทั้งบุตรชายและบุตรสาวคุณทักษิณได้ใช้คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวต่อสู้ในการอุธรณ์ต่อศาลภาษีอากร และทำให้ชนะคดีไม่ต้องจ่ายภาษีราว ๆ 5,800 ล้านบาทบวกกับค่าปรับตามระยะเวลาที่ไม่ได้ชำระภาษี

ต่อมาสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแจ้งไปยังกรมสรรพากรว่าจะต้องไปเรียกเก็บภาษีจากคุณทักษิณแทนบุตรชายบุตรสาว เพราะเท่ากับคุณทักษิณคือตัวจริงที่ซื้อหุ้นเอมเพิลริชราคา 1 บาทก่อนนำไปขายราคา 49 บาทให้เทมาเส็ก ไม่เข้าข่ายยกเว้นภาษีตามกฏหมายตลาดหลักทรัพย์

แต่สรรพากรบอกว่าหมดอายุความไปแล้วตั้งแต่ปี2555เนื่องจากไม่ได้มีหนังสือเรียกเก็บภาษีไปที่คุณทักษิณมาก่อนคงเรียกเก็บไปที่เฉพาะบุตรชายบุตรสาวเมื่อพ้น 5 ปี  (2550-2555)ไม่มีหนังสือเรียกเก็บถือว่าหมดอายุความถ้าจะให้มีอายุความ10ปีต้องเป็นกรณีที่มีหนังสือแจ้งให้เสียภาษีไปแล้วเท่านั้น

ที่ถกเถียงกันว่าจะดำเนินเรื่องภาษีหุ้นชินอย่างไรก็เพราะมุมมองเรื่องข้อกฏหมายที่แตกต่างกันระหว่างกรมสรรพากรกับ สตง.ซึ่งก็สามารถเกิดขึ้นได้ไม่ใช่เรื่องที่จะประนามหรือกล่าวหากันเสีย ๆหาย ๆกัน

        เรื่องนี้ในที่สุดนายกรัฐมนตรีจึงสั่งการประชุมผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย มีรองนายกรัฐมนตรี วิษณุ เครืองาม มือกฏหมายของรัฐบาลเป็นประธานและก็ได้ข้อสรุปว่าจะใช้มาตรา320และ321กฏหมายแพ่งและพาณิชย์เข้ามาร่วมพิจารณาด้วย ซึ่งก็จะเปิดทางให้กรมสรรพากรสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามกฏหมายได้ก่อน 31 มีนาคม ส่วนคุณทักษิณกยังสามารถอุทธรณ์ได้ที่ศาลภาษีอากร ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าจะได้บทสรุปจริงๆว่า เงินจากการขายหุ้นชินที่เหลือจากการยึดทรัพย์นั้นจะต้องเสียภาษีด้วยหรือไม่

        ถ้ายึดตามข้อกฎหมายอย่างแท้จริงสามารถอธิบายได้ทุกขั้นตอน คนเกลียดกับคนรักคุณทักษิณจะกล่าวหาว่าอย่างไร ก็คงต้องปล่อยให้ว่าไปจนเหนื่อยกันไปเองนั่นแหละ

Tag :