เปิด 10 เรื่องต้องรู้ก่อนรัฐบาลพลิกโฉม ฉงชิ่ง ก้าวสู่ เมืองสีเขียว

by ESGuniverse, 18 เมษายน 2567

 10 สิ่งพลิกโฉม มหานครฉงชิ่ง เมืองปกคลุมด้วยมลพิษ จากแหล่งอุตสาหกรรม แต่รัฐบาลจีน ใช้นโยบาย สงครามปกป้องท้องฟ้าสีคราม เร่งการใช้พลังงานสะอาดในไม่กี่ปีก็เมืองอุตสาหกรรม ก้าวไปสู่การเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจสีเขียว


มหานครฉงชิ่ง (Chongqing) เมืองที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐประชาชนจีน มีพื้นที่ครอบคลุม 82,300 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ในมณฑลเสฉวน มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง จนทำให้ขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของจีนแผ่นดินใหญ่ รองจากเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เซินเจิ้น และกวางโจว ถือเป็น 1 ใน 4 ของนครปกครองโดยตรงของรัฐบาลกลางการเปลี่ยนแปลงแก้ไขปัญหา จึงทำได้อย่างรวดเร็วในพริบตา


หากพูดถึงนครฉงชิ่ง (Chongqing) มหานครที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน มีเนื้อที่ราว 82,400 ตารางกิโลเมตร เกือบเท่ากับภาคกลางของประเทศไทย มีประชากรกว่า 32 ล้านคน หลายคนคงทราบกันดีว่า มหานครแห่งนี้เป็นเมืองเศรษฐกิจทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

แต่รู้หรือไม่ว่าเมื่อ 10 ปีก่อน เมืองเศรษฐกิจของแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ เคยประสบปัญหามลพิษอากาศอย่างมาก มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรม การเผาไหม้ถ่านหินและเชื้อเพลิงชีวภาพ ทำให้รัฐบาลเร่งออกนโยบายทุกทางเพื่อแก้ปัญหา ที่รู้จักกันก็คือ สงครามปกป้องท้องฟ้าสีคราม (Blue sky defense battle) รวมถึงนโยบายการส่งเสริมพลังงานสะอาด

เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมด้านพลังงานของเมืองฉงชิ่ง ร่วมมือกันจัดการประชุมและศึกษาดูงานด้านการพัฒนาเมือง โดยได้เชิญนักวิชาการจาก สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (Thailand Environment Institute) หรือ TEI ซึ่งมี คุณเบญจมาส โชติทอง และคุณวิลาวรรณ น้อยภา หลบอากาศร้อนจากเมืองไทยเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ พร้อมได้เรียบเรียงข้อมูลเกี่ยวกับฉงชิ่ง เมืองสีเขียว ( Green Chongqing)

10 เรื่อง พลิกโฉมฉงชิ่งเมืองสีเขียว

มาดูกันว่า 10 เรื่องต้องรู้ นครฉงชิ่งสู่ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีอะไรน่าสนใจบ้าง

 

 

1. ภูมิทัศน์สวยงาม ต้นไม้ใหญ่และพื้นที่สีเขียวสองข้างถนนถูกจัดการเป็นอย่างดี สัมผัสได้ตั้งแต่ออกเดินทางจากสนามบินเจียงเป่ย (Jiangbei) ไปตลอดทาง

 

 

2. บทบาทองค์กรทางสังคม (Social organizations) ซึ่งเป็นคำที่จีนใช้เรียกองค์กรพัฒนาเอกชนหรือ NGO ได้เข้ามามีส่วนช่วยเฝ้าระวังมลพิษ และทำงานร่วมกับบริษัทเอกชนมากขึ้น รวมทั้งกระตุ้นเยาวชนและสังคมให้เรียนรู้และปกป้องธรรมชาติ เช่น กรณีศูนย์เรียนรู้ธรรมชาติ การอนุรักษ์นกอินทรีย์

 


3. ขยายชุมชนเกษตรอินทรีย์ โดยนำองค์ความรู้สมัยใหม่เข้ามาใช้ในการทำเกษตร มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในเขตชนบท สร้างงานให้กับคนในท้องถิ่น โดยได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ อย่างกรณีเมืองดาชู (Dashu Town)

 

 

 

4. ป้ายทะเบียนรถยนต์แยก 2 สี ชัดเจน ให้เข้าใจว่าป้ายทะเบียนสีเขียวคือรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV (Electricity vehicle) ซึ่งมีประมาณ 20% ในเมืองนี้และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนป้ายทะเบียนสีน้ำเงินคือรถที่ใช้เชื้อเพลิงแบบเดิม

 

 

 

5. พัฒนาเทคโนโลยีระบบชาร์ตสำหรับรถยนต์ EV และขยายจุด/สถานีชาร์ตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ EV ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในเขตเมือง แม้ยังมีจำกัดในเขตพื้นที่ชนบท

 

 

 

6. สถานีสลับแบตเตอรี่สำหรับรถแท็กซี่ EV ใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที น่าตื่นเต้นมากสำหรับยุคนี้ (ต่อไปน่าจะขยายเพิ่มและพบเห็นได้ทั่วไป)

 

 

7. เกิดธุรกิจสตาร์อัพใหม่ ๆ ด้านธุรกิจพลังงานสะอาด โดยการสนับสนุนจากรัฐบาล บางบริษัทเพิ่งก่อตั้งได้ 4-5 ปี สามารถขยายงานได้แบบก้าวกระโดด

 

 

 

8. การให้บริการแบบครบวงจร ของบริษัทผลิตอุปกรณ์ด้านพลังงานแสงอาทิตย์ ตั้งแต่การขออนุญาตติดตั้ง การติดตั้ง ระบบการติดตามแบบเรียลไทม์ บริการทำความสะอาดแผงโซลาร์ ฯลฯ แต่ก็ยังขาดความรับผิดชอบเรื่องการจัดการซากอุปกรณ์หลังใช้งาน

 

9. พัฒนาระบบเก็บพลังงาน (Energy storage) ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งในระดับอุตสาหกรรม ครัวเรือน และเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานนอกสถานที่ เช่น การแคมปิ้ง

 

 

10. ความร่วมมือวิจัยด้านพลังงาน เทคโนโลยี และนวัตกรรม ของนักวิชาการ ช่วยขับเคลื่อนการลงทุนของภาคเอกชน เช่นที่ Chongqing University มีงานวิจัยเกี่ยวกับพลังงานสะอาด การรีไซเคิลวัสดุ พลังงานจากขยะ


เปลี่ยนผ่านสู่เมืองสีเขียว บนความท้าทาย 

สลัดทิ้งสัดส่วนฟอสซิลสัดส่วนสูง

นักวิชาการ TEI เล่าต่อว่า ยังมีอีกหลายเรื่องที่นครฉงชิ่งและรัฐบาลจีนเร่งส่งเสริมพลังงานสะอาดเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ และการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2060 ด้วย เห็นได้ชัดจากการเดินหน้าส่งเสริมและกระตุ้นภาคเอกชนปรับตัวด้านธุรกิจพลังงาน ซึ่งหากเปรียบกับประเทศไทยที่ตั้งเป้าจะบรรลุเป้าหมายนี้ภายในปี 2030 ก่อนจีน แต่มาตรการด้านพลังงานสะอาดของเรายังมีน้อย

นอกจากนี้ ได้ทราบจากภาคเอกชนในการประชุมที่ฉงชิ่งเป็นเสียงเดียวกัน ว่าความก้าวหน้าในการพัฒนาด้านพลังงานสะอาดทุกวันนี้ เป็นเพราะนโยบายและมาตรการส่งเสริมจากรัฐบาล

อย่างไรก็ดี แม้การพัฒนาด้านพลังงานสะอาดของจีนรุดหน้าไปมาก ได้มีการพัฒนาโครงสร้างทางพลังงานที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิลกระจายทั่วประเทศ แต่ปัจจุบันจีนยังใช้แหล่งพลังงานส่วนใหญ่จากถ่านหินกว่า 50% และน้ำมันดิบ เกือบ 20%

ขณะเดียวกันจีนมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ซึ่งสังคมคนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด มีการพัฒนาเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ทำให้เกิดการบริโภคและการใช้พลังงานสูงขึ้น ซึ่งที่นักวิชาการจีนให้ข้อมูลว่า รัฐบาลจีนจะยังคงผลิตพลังงานจากแหล่งฟอสซิลต่อไป เพื่อรักษาความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศเอาไว้