5G เทคโนโลยีที่ “พญาอินทรี” จะแพ้ “มังกร” ไม่ได้

by ThaiQuote, 1 มิถุนายน 2562

กองบรรณาธิการ ThaiQuote

สิ่งหนึ่งที่วัดได้ว่ามันคือความ "เจ๋ง" และจะเป็นตัวกำหนดทิศทางสำหรับอนาคตของโลก นั่นคือระบบการสื่อสาร "5G" ที่แน่นอนว่าหากประเทศไหนทำได้สำเร็จอย่างลุล่วงโดยไม่มีปัญหา ประเทศนั้นก็จะมีแต้มต่อในแทบทุกด้านบนผืนแผ่นดินโลกมนุษย์ใบนี้

คำว่า 5G เราจึงได้ยินบ่อยครั้งมากขึ้นกับสงครามการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจของโลกที่เปิดศึกกันอยู่ระหว่าง "สหรัฐอเมริกา" และ "จีน" ก็เพราะเรื่อง 5G ที่จีนพัฒนาได้อย่างเอกอุก กำลังทำให้สหรัฐฯ ต้องหนาวๆ ร้อนๆ เพราะมันดีกว่า เสถียรกว่า และถูกกว่าที่สหรัฐฯ พยายามทำมันออกมา

และอาจเพราะเหตุผลลึกๆ ที่ของจีนมันดีกว่าของสหรัฐฯ พญาอินทรีจึงพยายามที่จะตัดทุกช่องทางให้นานาประเทศพันธมิตรยุติการใช้เทคโนโลยี 5G ของจีน และแน่นอนว่าหนึ่งในบริษัทที่พัฒนา 5G จากแดนมังกร มันมีชื่อ "หัวเว่ย" เข้ามาเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาด้วย

 

 

การกล่าวหาว่าเทคโนโลยี 5G ของจีนอันล้ำสมัย และมันไปเชื่อมกับหัวเว่ยได้นั้น ก็ถูกตั้งข้อสังเกตจากสหรัฐฯว่า แบรนด์โทรคมนาคมนี้อาจจะมีอะไรลับๆ เพื่อดึงเอาข้อมูลไปส่งให้กับรัฐบาลปักกิ่งได้ นั่นจึงเป็นเรื่องร้อนเกี่ยวกับปม 5G ที่เราได้เห็นกัน เพราะสหรัฐฯ มองหัวเว่ยว่าคือสายลับผ่านระบบเทคโนโลยีนั่นเอง

แต่ความสำคัญของ 5G มันดีอย่างไร และมันสำคัญอะไรในอนาคตของโลก รวมถึงปัจจุบันนี้ด้วย

คำตอบคือ 5G จะเป็นเครือข่ายไร้สายรุ่นใหม่ ที่จะทำให้ทุกการเชื่อมต่อบนโลกมนุษย์นี้ ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์เน็ต โทรศัพท์ การสั่งการผ่านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทุกอย่าง มันจะทำได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งในทุกผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีของอนาคตจะไม่สามารถปฏิเสธการใช้งานเทคโนโลยี 5G ได้เลย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมประเทศยักษ์ใหญ่ทั้งหลายถึง "เอาเป็นเอาตาย" กับการพัฒนา 5G ออกมา

นั่นก็เพราะหากใครทำได้สำเร็จ ทำได้ดี มันก็อาจส่งผลให้เป็นมหาอำนาจของโลกได้อย่างแท้จริง

วกกลับมาที่ประเด็นความขัดแย้งของชาติมหาอำนาจของโลกที่มีเรื่อง 5G มาเกี่ยวข้อง สหรัฐฯ โดยการนำของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดี ก็ประกาศไว้อย่างชัดเจนเมื่อราวเดือนเมษายนที่ผ่านมา และมันบ่งบอกว่า 5G มีความสำคัญอย่างมากต่อสหรัฐฯ และเป็นการแข่งขันที่ "พญาอินทรี" จะต้องชนะ ชนะอย่างเสียไม่ได้

 

 

การเดิมพันด้วยระบบเทคโนโลยี 5G ของสหรัฐฯ มันมีความสำคัญอย่างมาก เพราะหากสำเร็จมันจะหมายถึงการจ้างงานถึง 3 ล้านตำแหน่ง ผ่านอุตสาหกรรมไร้สายที่มีแผนจะลงทุน 275,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมันก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนเพิ่มเติมในเศรษฐกิจอีก 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

เมื่อเห็นถึงผลเดิมพันใน 5G ของสหรัฐฯ แล้ว จึงไม่แปลกใจที่ "ทรัมป์" จะออกคำสั่งพิเศษเพื่อไม่ให้หน่วยธุรกิจของประเทศทั้งรัฐและเอกชน ร่วมสังฆกรรมกับ "หัวเว่ย" และประกาศแบน ขึ้นบัญชีดำบริษัทยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมค่ายนี้

แต่กระนั้นก็ตาม ข้อห้ามของทรัมป์กระทบไปถึงธุรกิจชิปที่ทำงานกับหัวเว่ยในสหรัฐฯเองด้วย อย่าง Broadcom, Intel, Xilinx และ Qualcomm ซึ่งบางแห่งมีส่วนร่วมในการสร้างเครือข่าย 5G และโมเดม เพราะบริษัทเหล่านี้จะพลาดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในช่วงที่หัวเว่ยขยายเครือข่าย 5G นอกสหรัฐฯ

แต่ผลกระทบต่อหัวเว่ยก็มีเช่นกัน เพราะต้องไม่ลืมว่าแบรนด์อย่าง กูเกิล ก็รับลูกกับทรัมป์เช่นกัน โดยการตัดความสัมพันธ์กับหัวเว่ยไป แม้จะมีช่วงเวลาให้ผ่อนผันอีก 90 วันก็ตาม แต่ผลเอฟเฟ็กต์ที่ตามมากับเรื่องนี้มันใหญ่หลวงหนักกับหัวเว่ย เพราะหากกูเกิลไม่จัดหาระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ให้หัวเว่ย โทรศัพท์หัวเว่ยจะมีความน่าดึงดูดใจน้อยลงในตลาดต่างๆ นอกประเทศจีน อย่างยุโรป ซึ่งหัวเว่ยขายมือถือที่สามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ของกูเกิลได้เต็มรูปแบบ อย่างการค้นหาข้อมูลต่างๆ และ Play Store

ผลของการประกาศของทรัมป์แน่นอนว่ามันเหมือน "อาญาสิทธิ์" ก็ว่าได้ เพราะแค่ผู้ใช้โทรศัพท์ของหัวเว่ยก็เริ่มทยอยขายสมาร์ทโฟนของตัวเองในตลาดมืดหรือตลาดสว่างกันอย่างหนักหน่วง อันส่งผลให้ยอดขายมือถือของหัวเว่ยตกลงไปถึง 50% ทีเดียว

 

 

แต่นักวิเคราะห์ก็สะท้อนว่า นัยยะที่แท้จริงกับมาตรการเข้มหัวเว่ยโดยใช้เรื่อง 5G เป็นข้ออ้างนั้น เป็นเพราะ "ทรัมป์" อาจจะกลัว "จีน" มากจนเกินไป และรู้ซึ้งถึงศักยภาพอันแท้จริงที่ "มังกร" ตัวนี้สามารถทำได้ในการก้าวขึ้นสู่การเป็นเบอร์หนึ่งอำนาจของโลก และการใช้ไม้แข็งกับหัวเว่ย และที่กระเทือนไปถึงรัฐบาลปักกิ่ง ก็เพียงแค่ต้องการให้ "สีจิ้นผิง" ประธานาธิบดีของจีน กลับสู่โต๊ะเจรจาการค้าเพื่อหาข้อตกลงร่วมกันให้ดีที่สุด เพราะสหรัฐฯ เองก็ยังต้องการแร่แรเอิร์ธที่สำคัญต่ออุตสหากรรมของประเทศอย่างมาก และมันดันมีที่จีนแห่งเดียวที่หาได้มากตามที่ต้องการ แต่การที่จะอ่อนข้อก็ไม่ใช่ท่าทีที่เหมาะสมของพญาอินทรี มาตรการเข้มงวดเพื่อเป็นแท็คติกให้จีนมานั่งคุยกัน "ทรัมป์" จึงมองว่ามันเป็นการแก้เกมที่ดีที่สุด

แต่ "ทรัมป์" อาจจะลืมไปว่า มันยังมีความเสี่ยงอยู่ตรงที่ "จีน" อาจจะไม่เล่นด้วย และไม่ง้อสหรัฐฯ พร้อมกับหันหน้าไปพัฒนาเทคโนโลยี 5G ของตัวเองให้ทั้งโลกยอมรับได้ และเลือกใช้บริการ หากกลเกมเป็นเช่นนี้ มันก็จะพลิกข้างให้สหรัฐฯ ถูกโดดเดี่ยวได้สำหรับเทคโนโลยีในอนาคต

 

 

เว้นเสียแต่ว่า "ทรัมป์" จะเปิดอีกศึกกับจีน นั่นคือ "ศึกสงครามเทคโนโลยี 5G" แข่งกันผลิต พัฒนา และถล่มกันเอง