“สนธิ” เปิดใจชีวิตในเรือนจำ “จงภูมิใจ ไม่มีอะไรที่ต้องอาย”

by ThaiQuote, 12 กันยายน 2562

"ผมไปติดคุกมา ไม่มีอะไรที่ต้องอาย"

หนึ่งในวลีที่น่าจะเป็นวรรคทอง จากการเปิดใจของ "สนธิ ลิ้มทองกุล" อดีตเบอร์หนึ่งมวลชนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ครั้งหนึ่งเขาเองก็ถือเป็นบุคคลแห่งประวัติศาสตร์บนท้องถนนการเมืองไทย

 

 

การเปิดใจไขทุกประเด็นต่อสังคม และวงการเมืองของสายวันที่ 12 กันยายน "สนธิ" บอกเล่าทุกเรื่องราว ทุกวินาทีของเวลาที่ตัวเขาเองถูกกักขังในเรือนจำยาวนาน 2 ปี 11 เดือน กับอีก 21 วัน จากการต้องคดีความผิดเกี่ยวกับกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และอื่นๆ ทำให้เห็นว่าอดีตนักสื่อสารมวลชนชื่อดัง นักกิจกรรมทางการเมืองผู้นี้ ในวัย 72 ปี ยังคงมีกำลังใจที่ดีเยี่ยม และมุมมองของชีวิตที่เป็นแง่บวก นั่นจึงสะท้อนได้ว่า ชีวิตในคุกไม่ได้ทำให้ตัวเขาต้องอับอายใครในสังคม เพราะส่วนหนึ่งเขาเองก็ยืดอกรับผิดในชะตากรรมที่ได้ก่อ

เฟซบุ๊ก "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ถูกเลือกเป็นช่องทางที่ "สนธิ ลิ้มทองกุล" ใช้เปิดใจ เขาเปิดฉากเล่าถึงที่มาที่ต้องทำให้ตัวเองออกจากบ้านพระอาทิตย์ เข้าไปอยู่ในคุก เพราะความผิดที่เกิดขึ้นตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ที่ไปพันเกี่ยวกับเรื่องการเมือง ทำให้ทุกอย่างดูยุ่งยากมากกว่าเดิม แต่แล้วเขาเองก็ต้องยอมรับในชะตากรรม พร้อมกับยอมรับว่าชีวิตในคุกเต็มไปด้วยความลำบาก

 

 

สนธิ ฉายภาพตามตรงและยืนยันสิ่งที่ตัวเองพบเจอในเรือนจำ เขาระบุว่า หน่วยงานที่ดีที่สุดของกรมราชทัณฑ์ ก็น่าจะเป็นโรงพยาบาลของราชทัณฑ์เอง ที่ยังมองนักโทษเป็นคน แต่ขณะเดียวกัน ข้าราชการในกรมราชทัณฑ์บางคน ก็มองนักโทษไม่ใช่มนุษย์ แต่ก็เพราะนักโทษบางคนไม่ดี แต่คนดีก็มี ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็จะมีวิธีจัดการเพื่อจัดระเบียบกันภายใน

"ผมเองอยู่แดน 7 แดนนี้มีนักโทษอยู่ประมาณกว่า 100 คน ห้องนอนที่ผมนอนจะมีนักโทษอยู่ด้วยกันทั้งหมด 8 คน ตอนนอนขยับตัวกันไม่ได้เลยเพราะแคบมาก ตื่นเช้าก็ออกมาเดิน ก๊วนของผมจะมีนักโทษอีก 4 คนที่ร่วมเดินด้วยกัน ทั้งหมดก็จบมาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก แต่เมื่อทำผิดก็ต้องว่ากันตามผิด ก็มาเจอกันข้างใน" สนธิ เปิดใจในตอนหนึ่ง ยังย้ำอีกว่า ตัวเองนั้นผิดก็ว่ากันตามผิด และออกมาตามกติกาที่วางกันเอาไว้

อีกกิจกรรมที่สนธิทำมาตลอดขณะต้องโทษในเรือนจำ เจ้าตัวเล่าถึงประสบการณ์ที่ระบุว่า "ไม่มีใครรู้" ซึ่งนั่นก็คือการติดตามข่าวสารบ้านเมืองผ่านโทรทัศน์ โดยตอนหนึ่งของการเปิดใจ นายสนธิระบุถึงเรื่องนี้ว่า

"ผมบอกได้หมดเลยว่าช่องทีวีช่องไหนเป็นของใครบ้าง ช่องไหนปิดไปบ้างแล้ว เพราะดูจนจำได้แม่นหมด แต่ระยะหลังกรมราชทัณฑ์คงรู้สึกว่าให้ดูข่าวมากเกินไปอาจทำให้ฟุ้งซ่าน ก็เลยให้ดูรายการบันเทิง และบังคับให้เปิดเฉพาะช่องโมโน 29 เขาก็ฉายแต่หนังเรื่องเดิม วนๆ ซ้ำๆ กันไป แต่ทั้งหมดผมยอมรับว่า เรือนจำในยุคของ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ เป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ถือว่าทำได้ดีอย่างมาก จะมีเรื่องเดียวก็แค่เรื่องผ้าห่ม 3 ผืนนี่แหละ"

 

 

นายสนธิ ยังเล่าต่อไปอีกถึงสาเหตุที่ทำไมถึงไม่หนีคดี และก็ยอมรับด้วยว่ามีคนใกล้ชิดอีกหลายคนมาถามเรื่องนี้เหมือนกัน

"ผมไม่หนี หนีไม่ได้ หนีแล้วลูก ภรรยา ลูกน้องสื่อมวลชน เขาจะอายกันแค่ไหน เขาจะเอาปี๊บมาคลุมหัวเดิน แล้วเราจะหนีทำไม ผมไม่หนีเพราะพี่น้อง เพื่อน คนทำงานจะได้เดินหน้ายืดอกในสังคมอย่างสง่าผ่าเผย

แต่ยอมรับว่าชีวิตในคุกไม่ได้สบาย หลายคนเจอที่ศาลมาถามผมว่า 'พี่สบายดีนะ' ถามหน่อยเถอะคนติดคุกมันสบายเหรอ แต่ผมก็ไม่เคยอายว่าติดคุกมาก่อน ผมกล้าบอกกล้าพูด วันก่อนไปกินข้าวก็บอกว่าที่หายไปเพราะพี่ไปติดคุกมา ติดมาทั้งหมด 2 ปี 11 เดือน 21 วัน ไม่มีอะไรต้องอาย

ผมเข้าไปอยู่ในคุกก็เห็นทั้งหมด ว่าคนไทยแท้จริงที่อยู่ในคุก คนจนจริงๆ ถึงติดคุก เพราะไม่มีทนายเก่งๆ ที่เขาพูดกันว่าคนรวยไม่ติดคุกก็เรื่องจริง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด แต่อย่างน้อยที่สุดถึงผมไม่มีเงินเป็นแสนล้านเหมือนกับพวกกระทิงแดง แต่ผมก็ชดใช้กรรมของผมทุกวินาที

ผมอยากถามว่าคุณบอลคุณอยู่ที่ไหน คุณทักษิณ คุณอยู่ที่ไหน คุณยิ่งลักษณ์อยู่ที่ไหน อยากบอกว่าการติดคุกไม่ใช่เรื่องน่ากลัวถ้าทำใจได้ กับข้าวก็พอ 'แหลกได้' ดังนั้นอย่าไปกังวล" สนธิ เปิดใจยาวถึงชีวิตในคุก

 

 

แน่นอนว่าในฐานะที่เขาเองก็มีบทบาทอย่างมากต่อวงล้อประวัติศาสตร์การเมืองของไทย ทั้งการเอาตัวเองเข้าไปถูกจารึก หรือการอยู่วงนอกคอยวิเคราะห์วิพากษ์สถานการณ์การเมือง และรอบนี้ สนธิก็ไม่พลาดที่จะสะท้อนมุมการเมืองหลังจากที่เขาหายไปนานกว่า 2 ปี

"มีหลายคนบอกว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้มาจากประชาธิปไตยนะ ผมบอกเลยว่า ระบอบประชาธิปไตยบ้านเรามันเป็นแค่เพียงลมปาก ในความเป็นจริงระบอบประชาธิปไตยก็มีความเป็นเผด็จการอยู่ ผมไม่ได้ปลื้มไปด้วยนะที่ทหารมายึดอำนาจ แต่ผมยอมรับ

เปรียบได้เลยว่าเหมือนกับบ้านเรามีลูกสาว แล้วลูกสาวเราเสือกท้องไม่มีพ่อ คุณจะจับมันขังพืดแล้วทุบตีหรือ ก็ต้องยอมรับและหวังว่ามันจะเลี้ยงดูลูกให้ดี ก็เหมือนกัน เราก็ต้องหวังว่านายกฯ จะปกครองได้ดี ทำงานได้ดี เพราะวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นนายกฯ แล้ว

หวังว่าท่านคงเอาประเทศเป็นที่ตั้ง ไม่เล่นพวกพ้อง ถ้าหวังกันแบบนี้มันก็น่าจะมีอนาคตได้

อย่างคุณช่อ (พรรณิการ์ วานิช ส.ส.พรรคอนาคตใหม่) ผมก็เห็นใจนะ คุณช่อทำอะไรก็เหมือนจะผิดไปหมด แต่เขาก็มีความปราถนาดี เรื่องนี้เราต้องชมเชย เพียงแต่คนกลุ่มนี้ไม่ทันต่อเหตุการณ์ แต่พวกเขาก้าวล้ำไปอีกไกล ซึ่งหลายคนยังยอมรับไม่ได้

ผมอยู่ในคุกก็ได้เรียนรู้ว่าไม่มีอะไรจีรัง ได้เจอคนที่น่าจะเจอ อย่างคุณธาริต เพ็งดิษฐ์ (อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ) ความใหญ่ความโตภายนอกเป็นเพียงเรื่องสมมุติ" นายสนธิ เปิดใจ

 

 

สนธิ ยังทิ้งท้ายถึงการวางบทบาทของตัวเองนับจากนี้ที่ก้าวเข้าสู่วัยชราอย่างเต็มตัวแล้ว เขาระบุว่า จะให้ความรู้ทุกอย่างที่ตัวเองมีถ่ายทอดออกไป และไม่ต้องกังวลว่าเขาจะออกมาสู้บนถนนอีกครั้ง เพราะการเมืองเช่นนั้นหมดยุคไปแล้ว แต่ความรู้นับเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก

"ผมขมขื่นมาตลอด จนไม่รู้ว่าจะพูดออกมาได้อย่างไร ร่างกายผมยังมีเศษกระสุนจากการถูกลอบยิงฝังเอาไว้อีก 2 จุด ก่อนหน้านี้ภรรยาก็มาจากไป เป็นครั้งแรกที่ร้องไห้หนักที่สุดในชีวิต กับอีกครั้งก็เมื่อในหลวง ร.9 สวรรคต ก็ร้องไห้หนักอีก

ตลอด 3 ปีมีแต่ความระทม แต่ผ่านมาได้ ผมขอฝากปรัชญาชีวิตไว้ 2 เรื่องละกัน คือ 1.มันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละ 2.ทุกอย่างจะจบลงด้วยคำว่า "แล้วมันจะผ่านไป"