ลุคส์ใหม่ยิ้มสู้ใส่ฝ่ายค้าน "บิ๊กตู่" แจงอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกประเด็น

by ThaiQuote, 24 กุมภาพันธ์ 2563

"บิ๊กตู่" แจงอภิปรายไม่ไว้วางใจวันแรกด้วยรอยยิ้ม ยันไม่โกรธใคร แต่การบริหารประเทศไปถูกใจคนทั้งหมดคงไม่ได้ ย้ำผ่านมาไม่เคยเอาใครเข้าคุก มีแต่เมตตาให้ตลอด

 



เข้าสู่บรรยากาศศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันแรก สำหรับบ่ายวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รวมถึงคณะรัฐมนตรีเข้าร่วมให้ฝ่ายค้านได้เปิดศึกซักฟอกครั้งแรกในการทำงานของรัฐบาล

พรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และในฐานะผู้นำพรรคฝ่ายค้าน เปิดฟลอร์เป็นคนแรก เริ่มอภิปรายชี้แจงถึงการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยเรียงลำดับผู้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจดังนี้ 1 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม 2.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า 3.นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี 4.นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ 5.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ 6. พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นคนสุดท้าย

เนื้อหาของนายสมพงษ์ ว่าด้วยฝ่ายค้านตั้งข้อกล่าวหารัฐบาลไม่อาจไว้วางใจให้บริหารประเทศต่อไป เนื่องด้วยการเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง ใช้อำนาจโดยมิชอบ ทำให้ล้มเหลว 5 ประการ ประกอบด้วย

1. ล้มเหลวสร้างความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย เอื้อพวกพ้อง เรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ สร้างขึ้นมาเอง
2. ทำให้ต่างประเทศไม่ยอมรับ การเมืองประเทศไม่มั่นคง ประเทศเดินไปข้างหน้าไม่ได้
3. ล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้ประเทศไทยจากกำลังรุดหน้า กลายเป็นประเทศล้มลุกคลุกคลาน ล้าหลัง ซึ่งเกิดจากการบริหารงานผิดพลาด โดยมีโครงการเศรษฐกิจต่างๆ ที่ผิดพลาด อย่าง "ชิมชอบใช้" หรือ "บัตรคนจน"
4. การปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นล้มเหลว เพราะมีการเลือกปฏิบัติ เอื้อพวกพ้อง แต่มุ่งทำลายฝั่งตรงข้าม
5. ล้มเหลวความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ สอบตกการเป็นผู้นำ เพราะต้องการเพียงทุกคนต้องรับคำสั่ง เคยชินใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จ ทำให้เห็นพฤติกรรมนายกฯ ในหลายวาระ โยนของใส่ผู้สื่อข่าว หรือการใช้คำพูดทำให้กระทบกระเทือนภาพลักษณ์ของประเทศ

พลันที่เสร็จสิ้น ก็ถึงคิวพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกโรงชี้แจง

"หลายเรื่องที่กล่าวมามีทั้งเรื่องอดีตและปัจจุบันและอนาคต ผมไม่ได้โกรธท่านเลยนะครับ วันนี้ผมมีรอยยิ้มและแจ่มใสมาตลอด วันนี้ผมมาด้วยความยินดีอย่างยิ่ง แม้ว่าจะมีการปล่อยข่าวจำนวนมากว่าจะต้องมาเผชิญศึกในและศึกนอก แต่ผมถือว่าเป็นกลไกของประชาธิปไตยไทย และได้เข้ามาอยู่ในกระบวนการนี้โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้” พล.อ.ประยุทธ์ เกริ่นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ตามกลยุทธ์ของพรรคร่วมรัฐบาลที่วางไว้ว่าอยากให้นายกฯ "อารมณ์ดี ยิ้มเข้าไว้" เมื่อฝ่ายค้านพยายามอภิปรายยั่วให้โมโห


พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เมื่อประเทศเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญแล้วตามที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้ร่างออกมานั้น อาจจะไม่ถูกใจใครไปทั้งหมด ข้อกล่าวหาที่อภิปรายไม่ไว้วางใจผมมานั้นประชาชนฟังทั้งประเทศ บางอย่างไม่ใช่ข้อเท็จจริงโดยสมบูรณ์ บางครั้งต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน

ขณะที่ข้อกล่าวหาว่า ผมไม่ได้ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยนั้น ยืนยันว่าไม่เคยมีความคิดอย่างนี้เลย ผมจำเป็นต้องแก้ปัญหาของประเทศชาติให้ลุล่วง เพื่อให้เกิดความสงบ และความเรียบร้อยไปสู่การเลือกตั้งและการมีรัฐธรรมนูญ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน

ผมไม่เคยก้าวล่วงใคร ไม่เคยจับใครติดคุก มีแต่ความเมตตาและขอคุยกัน ท่านสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีให้กับผมมาตลอด จริงๆ แล้วผมเป็นคนอารมณ์เย็น พูดจาดุไปบ้างแต่นักข่าวเข้าใจผม รัฐบาลบริหารประเทศเพื่อทุกคน อาจจะยากและช้าไปบ้าง แต่สิ่งที่ทำวันนี้ไม่ได้ใช้เงินอย่างเดียวเพราะได้เข้ามาให้ความรู้และหาวิธีการต่างๆเข้ามาช่วยประชาชน

ขณะที่เรื่องมาตรา 44 ผมก็ไม่เคยไปใช้แกล้งข้าราชการ วันนี้มาตรา 44 ไม่ได้มีอีกแล้ว เพราะคสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) เลิกไปตั้งนาน การใช้มาตรา 44 เป็นไปเพื่อแก้ไขปัญหาและอำนวยความสะดวกและบูรณาการให้กับส่วนราชการ เช่น การค้ามนุษย์ การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการบินของ ICAO ไปจนถึงการแก้ไขเรื่องการทำประมงผิดกฎหมายของ IUU ผมก็ทำสำเร็จ เรื่องของการทุจริตนั้นผมทำทุกอย่างด้วยเจตนาบริสุทธิ์ โดยทุกขั้นตอนก็เป็นไปตามขั้นตอน ไม่เคยไปนั่งหัวโต๊ะแล้วสั่งลงมา หรือการเอื้อประโยชน์ก็เป็นเพียงการวิจารณ์หรือการคาดการณ์กันไปเอง

 



ต่อจากนั้นนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นกล่าวอภิปรายโดยได้ขอเวลาในการอภิปรายถึง 2 ชั่วโมง แยกเป็นเรื่อขงการการเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้องซึ่งเป็นกลุ่มนายทุน อาทิ การให้กลุ่มทุนเข้าปรับปรุงศูนย์การประชุมสิริกิติ์ และการใช้ ม.44 เอื้อประโยชน์พวกพ้อง นอกจากนี้ยังการใช้นำเรียก พล.อ.ประยุทธ์ ว่า “คุณประยุทธ์” จึงทำให้มีส.ส.พรรคร่วมหลายคน ยกมือลุกขึ้นประท้วงอย่างต่อเนื่องว่าควรให้เคารพและให้เกียรติ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี โดยการเรียกชื่อยศนำหน้า

นอกจากนี้ นายยุทธพงศ์ ยังได้กล่าวถึงครอบครัวนายกรัฐมนตรี ถึงการแบ่งทรัพย์สินมรดก โดยกล่าวถึงบิดาของนายกฯ และน้องชาย และกล่าวย้ำถึงเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อนายกฯ ได้ยิน ถึงกับแสดงกิริยาด้วยการส่ายหน้า โดย นายชวน ประธานสภาฯ ได้กล่าวเตือนนายยุทธพงศ์ไม่ให้นำเรื่องของครอบครัวมากล่าวอ้าง

 

ข่าวที่น่าสนใจ