ปอนด์ต่อปอนด์ “นิสสัน ลีฟ VS เอ็มจี อีวี” หลังค่ายญี่ปุ่นดัมพ์ราคาสู้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า

by ThaiQuote, 4 มีนาคม 2563

เปรียบมวยบนเวที “รถยนต์ไฟฟ้า” หลังค่ายดังแดนปลาดิบ “นิสสัน ลีฟ” ขย่มราคาลด 5 แสน สู้ศึกในเมืองไทย ท้าชน “เอ็มจี แซดเอส อีวี” เข้าเต็มๆ

ภายหลังการเปิดตัว นิสสัน ลีฟ ซึ่งเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ได้มีการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปทั้งคัน (CBU) ด้วยราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1.99 ล้านบาท พร้อมการรับประกันคุณภาพ 3 ปี 100,000 กม. รับประกันระบบไฟฟ้า 5 ปี และรับประกันแบตเตอรี่นานสูงสุด 8 ปี ทั้งนี้ ในช่วงแรกมีการนำเข้าอยู่ที่ราว 300-500 คัน โดยมีการวางจำหน่ายในเฉพาะผู้แทนจำหน่าย (ดีลเลอร์) ราว 36 แห่งทั่วประเทศ

ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา ฝ่ายการตลาด นิสสัน ประเทศไทย ออกมาประกาศ โดยลดราคา”นิสสัน ลีฟ” ทันที 500,000 บาท จากราคาปกติ 1.99 ล้านบาท ลดลงเหลือ 1.49 ล้านบาท พร้อมฟรีประกันภัยชั้น 1 NPP นาน 1 ปี และดอกเบี้ยต่ำที่ 1.79% โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 – 5 เมษายน 2563

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าที่วางจำหน่ายในตลาดประเทศไทยในขณะนี้ อย่าง MG ZS EV ที่มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1.19 ล้านบาท และ MINI Electric (MINI Cooper SE) ที่มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 2.19 ล้านบาท และ Audi E-Tron ที่มีราคาอยู่ที่ 5.09 ล้านบาท ซึ่งการลดราคาดังกล่าวถือเป็นสงครามราคาในฐานะผู้เล่นรายใหญ่อย่าง นิสสัน ลีฟ ที่ครองแชมป์รถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในโลกด้วยยอดขายมากกว่า 280,000 คันทั่วโลก

โดยเมื่อเปรียบเทียบในแต่ละแบรนด์แล้ว หากมองในด้านการแข่งขันทางการตลาด นับเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดหนึ่งที่ นิสสัน หวังจะเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่กว้างมากขึ้นเพื่อให้แบรนด์เข้าถึงได้ง่ายขึ้นด้วยราคา ซึ่งหากถึงขั้นเปิดสงครามราคาอย่างดุเดือดเร้าใจขนาดนี้ ยิ่งถ้านโยบายการสนับสนุนทางด้านภาษีจากทางภาครัฐมีความชัดเจนแล้วล่ะก็น่าจะทำให้การเข้าถึงของราคารถยนต์ไฟฟ้าสู่ผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น

 

 

อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบถึงความได้เปรียบ จะเห็นว่าการนำเข้ารถอีวีจากจีนมาไทยจะไม่เสียภาษีนำเข้า ตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน ต่างจากการนำเข้ามาจากยุโรปที่ยังต้องโดนภาษีนำเข้า 80% หรือ ญี่ปุ่นที่ทำเอฟทีเอ ไว้เช่นกันแต่ยังมีกำแพงภาษีอยู่ 20%(ไม่รวมภาษีสรรพสามิตที่โดน 8%และภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7%)

โดย เอ็มจีแซดเอส อีวี ราคาอยู่ที่ 1.19 ล้านบาท และเอ็มจีต้องการบูมกระแสด้วยโปรโมชันเพิ่มการรับประกันคุณภาพแบตเตอรี่ 8 ปี ไม่จำกัดระยะทาง และฟรีประกันภัยชั้น 1 ฟรีเอ็มจี โฮม ชาร์เจอร์ พร้อมค่าติดตั้งมูลค่า 6.5 หมื่นบาท รวมข้อเสนอพิเศษมูลค่าเกือบ 1 แสนบาท สำหรับรถ 1,000 คันแรก

ด้านสเปกของมอเตอร์ไฟฟ้าและขนาดแบตเตอรี่ ถือว่ารถ 2 รุ่นนี้ใกล้เคียงกัน หรือกำลังเท่ากันที่ 150 แรงม้า ต่างกันตรงแรงบิดที่ แซดเอส อีวี จัดไป 350 นิวตัน-เมตร ส่วน ลีฟ 320 นิวตัน-เมตร ขณะเดียวกันชุดแพ็กแบตเตอรี่ที่มีผลโดยตรงต่อระยะทางการวิ่ง ค่ายแรกขนาด 44.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง เคลมระยะทางวิ่งตามมาตรฐาน NEDC (การทดสอบความประหยัดนํ้ามันและมลพิษของยุโรป) ไว้ 337 กิโลเมตร ส่วนอีวีจากญี่ปุ่นใช้แบตเตอรี่ 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง วิ่งได้ 311 กิโลเมตรตามมาตรฐานเดียวกัน

ส่วนการชาร์จด้วย “วอลล์บ็อกซ์” ที่บ้าน (เครื่องและระบบไฟฟ้าตามที่ทั้ง 2 ค่ายรถยนต์รับรอง โดยมอบหมายให้ผู้ติดตั้งอย่างเป็นทางการดูแล) แบตเตอรี่และออน บอร์ดชาร์จเจอร์ของ แซดเอส อีวี จะใช้เวลา 6.5 ชั่วโมง ส่วนนิสสัน ลีฟ 6 ชั่วโมง ต่อการชาร์จจาก 0% ถึงเต็ม100%

ในส่วนระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ของ แซดเอส อีวี สามารถชาร์จพลังงานในระหว่างการขับขี่กลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative) ที่เลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับได้ถึง3 ระดับ นอกจากนี้ยังสามารถปรับโหมดการขับขี่ได้ 3 รูปแบบทั้ง Eco เพื่อการประหยัดพลังงานยิ่งขึ้น แบบ Normal สำหรับการขับขี่ทั่วไป และแบบ Sport เพื่อการขับขี่ที่เร้าใจ

ขณะที่นิสสัน ลีฟ เสนอเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Driving) อย่าง e-Pedal ระบบช่วยให้ผู้ขับออกตัว เร่งความเร็ว ลดความเร็ว หยุดนิ่งและควบคุมตัวรถให้อยู่กับที่ด้วยการใช้แป้นคันเร่งอย่างเดียว อย่างกรณียกเท้าออกจากคันเร่ง ตัวรถจะลดความเร็วจนหยุดนิ่งโดยไม่ต้องแตะแป้นเบรก

ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์ด้านหน้าขณะขับขี่ ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง ระบบตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุ และบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน

อย่างไรก็ตาม ศึกครั้งนี้ของแบรนด์รถยนต์ระดับแมสกับการทำตลาดรถพลังงานไฟฟ้า ที่ “เอ็มจี” อาศัยความได้เปรียบด้านภาษีและการพัฒนาเทคโนโลยีในราคาเข้าถึงได้ง่ายจากบริษัทแม่ ส่วน“นิสสัน”ที่พยายามทำอีโคซิสเต็มของตลาดอีวีให้เกิดขึ้น ควบคู่ไปกับสร้างการรับรู้ในเทคโนโลยีขับเคลื่อนลํ้าสมัย แต่ด้วยราคาเกือบ 2 ล้านบาท ถึงลดให้ทันที 5 แสน เหลืออยู่ที่ 1.49 ล้านบาท แต่”นิสสัน ลีฟ” คงต้องลุ้นกันต่อไปว่าจะได้รับผลตอบรับขยับขึ้นมาได้มากน้อยขนาดไหน

 

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ