6 แนวทางแก้โควิด-19 ระดับท้องถิ่น ในมุมมอง “อภิชาติ โตดิลกเวชช์”

by ThaiQuote, 9 เมษายน 2563

อภิชาติ โตดิลกเวชช์ สมาชิกวุฒิภา อดีตอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ด้วยดีกรีที่ผ่านงานมาทุกระดับ เมื่อวันนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้รายงาน “การแก้ไขสถานการณ์โควิด 19 ในระดับพื้นที่และชุมชนของจังหวัด” จากอดีตลูกหม้อมหาดไทยคนนี้ ที่นำเสนอต่อ คณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา จึงมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย

ในรายงานดังกล่าว “อภิชาติ” ได้ชี้ให้เห็นว่าวิกฤติโควิด-19 ปัจจุบันเป็นแค่ปัญหาคลื่นลูกที่ 1 ประเทศไทยและโลกยังต้องเผชิญอีก 2 คลื่นใหญ่ พร้อมชี้ 6 ข้อเสนอแนวปฏิบัติสำคัญที่นำไปปรับใช้กับพื้นที่เพื่อการรับมือ ต่อสู้ แก้ไขและฟื้นฟูอย่างยั่งยืน


การแก้ไขสถานการณ์โควิด 19 ในระดับพื้นที่และชุมชนของจังหวัด
ข้อกังวล
1.โควิด 19 เป็นเรื่องใหม่ไม่อยู่ในสถานการณ์ที่เคยประสบมาก่อน ข้อมูลข่าวสาร วิธีการแพร่ระบาด การติดโรค การควบคุม การรักษา การเผชิญและแก้ไขสถานการณ์มีทั้งถูกและผิด ไม่มีใครสรุปได้ชัดเจนทั้งหมด
2.การเผชิญสถานการณ์ทุกคนตั้งรับ สนใจตามแก้ไขปัญหาผู้ติดเชื้อและรักษาโรคตามสถานการณ์ แต่ใส่ใจน้อยในเรื่องการป้องกันโรคอย่างจริงจัง เพื่อยุติโรคไม่ให้เกิดขึ้น
3.การเกิดสถานการณ์โควิด 19 อาจต้องก้าวต่อไปในการแพร่ระบาด ระยะที่ 3 เนื่องจากมีการติดต่อภายในประเทศในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มหาที่มาไม่ได้แล้ว การระบาดเริ่มกระจายไปยังพื้นที่ภูมิภาคในจังหวัดต่างๆ มากขึ้น
4.กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมถูกระงับ ซึ่งสวนทางกับตัวเลขผู้ติดเชื้อยังคงอยู่ในอัตราเร่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ภูมิภาคกระจายไปจังหวัดต่างๆ พบผู้ติดเชื้อมากรวมถึง ร้อยละ 44 ของทั้งประเทศ
5.ระบบเศรษฐกิจ กิจกรรมต่างๆ แทบจะหยุดหมด ปิดศูนย์การค้า ห้างร้าน กิจการค้าขาย หาบเร่ แผงลอย การตกงาน การหยุดหมุนเวียนระบบเศรษฐกิจทำได้ชั่วคราว แต่หยุดในระยะยาวทำไม่ได้ เงินของประชาชนมีไม่มากพอ แรงงานหาเช้ากินค่ำต้องการเงินที่จะใช้ในแต่ละเดือนที่ผ่านไป
6.องค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวถึงการแพร่ระบาดโควิดในเอเชีย สถานการณ์ระบาดยังอีกนานกว่าจะจบ การต่อสู้ครั้งนี้คือ ศึกระยะยาว มาตรการตรวจเชื้อจำนวนมาก การสกัดเชื้อแบบกลุ่มก้อน การรักษาแต่เนิ่นๆ การรักษาระยะห่าง หรือการล็อคดาวน์ช่วยซื้อเวลาอันมีค่าเพื่อพร้อมรับมือการแพร่เชื้อขนานใหญ่ แต่ต้องไม่ลืมว่ามาตรการทั้งหมดไม่ได้หมายถึงความเสี่ยงจะหมดไป ตราบใดที่โรคยังระบาดอยู่การแพร่ระบาดจะยุติอย่างน้อยจนกว่าจะพบวัคซีนในการป้องกันโรค
ข้อเสนอแนวปฏิบัติสำคัญที่นำไปปรับใช้กับพื้นที่
1.การบริหารสถานการณ์โควิดในระดับพื้นที่
1.1 ข้อกำหนดตาม ม.9 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 1 ให้อำนาจสำคัญแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด ดังนี้
1) ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้กำกับบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินทุกมิติในเขตท้องที่ที่ตนรับผิดชอบ รวมถึงการเตรียมรับสถานการณ์
2) การห้ามประชาชนเข้าพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
3) การปิดสถานที่เสี่ยงต่อการติดโรค
4) การปิดช่องทางเข้ามาในราชอาณาจักรในพื้นที่
5) ห้ามกักตุนสินค้า เวชภัณฑ์ อาหาร น้ำดื่มและสิ่งจำเป็น
6) ห้ามชุมนุม การทำกิจกรรมในสถานที่แออัด
7) มาตรการพึงปฏิบัติสำหรับบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อให้อยู่ภายในเคหะสถาน หรือบริเวณที่พำนักตน
8) ดูแลความสงบเรียบร้อย จัดเวรยาม ตั้งจุดตรวจตามถนน สถานที่สำคัญ
9) มาตรการป้องกันโรคตามที่สาธารณสุขกำหนดให้ใช้เป็นการทั่วไป
1.2 ในสถานการณ์ปกติ พรบ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ใช้ได้อยู่แล้ว และได้ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดจัดการในพื้นที่อย่างเบ็ดเสร็จ ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถ ใช้คำปรึกษาจากคณะกรรมการสาธารณสุขของจังหวัด ดังนั้น ในแง่บริหารจัดการใช้อำนาจของสาธารณสุขเป็นหลัก ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจกำกับดูแลอยู่แล้ว แต่ที่มีการใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เพราะงานแก้ปัญหาไม่ใช่เฉพาะด้านสาธารณสุขเท่านั้น แต่จะมีปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม และการรักษาความสงบเรียบร้อย การปิดพื้นที่ ปิดด่านตามมาอีกมากมาย ความรวดเร็ว ความเข้มงวดและประสิทธิภาพการทำงานเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น ดังนั้น การรวมกันระหว่างเทคนิคด้านสาธารณสุขกับการบริหารของพื้นที่ว่าเป็นอย่างไร ประเมิน การเคลื่อนไหวของชุมชน ผู้นำนักการเมืองท้องถิ่น กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ใครมีผลประโยชน์มากน้อยกว่าใคร แล้วจังหวัดจะมีมาตรการอะไรออกมาช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบ จึงเป็นงานที่ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องกำกับดูแลให้ได้และมีประสิทธิภาพแท้จริง
1.3 การบริหารงานในภาวะวิกฤตโควิด ผู้ว่าราชการจังหวัดมีความสำคัญมาก ต้องสามารถคาดการณ์ได้ว่าฉากทัศน์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จังหวัดกำลังจะไปทางไหน ความสามารถนี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัด อาจอยู่กับคณะที่ปรึกษา ต้องมีข้อมูลมาวางไว้ แล้วตกลงกันว่าจะตัดสินใจแบบไหน และรับผิดชอบร่วมกันต่อการตัดสินใจนั้นด้วย
1.4 วัฒนธรรมการทำงาน การบริหารจัดการในภาวะปกติของจังหวัด ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนัก เป็นการทำงานต่างคนต่างทำ ยึดแนวทางของกระทรวงที่สังกัด ดังนั้น เมื่อมีวิกฤตโควิดขึ้นการบริหารงานจะให้ดีขึ้นมาทันทีตามภาวะวิกฤตคงเป็นไปไม่ได้ ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงต้องแยกการบริหารจัดการให้มีเอกภาพ ทำงานร่วมกันให้ได้ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน ที่สำคัญมีระบบสั่งการแบบมืออาชีพ ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งสาธารณสุขจังหวัดไปแล้วก็จบ จะไม่ข้ามไปสั่งหัวหน้าส่วนคัดกรอง ไม่ไปล้วงลูกกับ ผอ.โรงพยาบาล ต้องอยู่นิ่งๆ คอยติดตามกำกับเท่านั้น คนที่อยู่ในอำนาจสั่งแค่ไหนแค่นั้น อย่าแทรกแซงคนที่ทำงานทำตามหน้าที่ หากมีการคิดไม่เหมือนกัน ก็มาคุยกันให้ได้ข้อยุติบนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้อง
1.5 ควรกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพตัวชี้วัดให้ชัดเจนในผลของการบริหารจัดการป้องกันการแพร่ระบาดของผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นใน 3 เดือน ของจังหวัด เพื่อกำกับงานและรู้สถานการณ์จริง โดยแบ่งประเภทออกเป็น
1) ดีเยี่ยม ไม่พบว่ามีการแพร่เชื้อเพิ่มเติม หรือไม่มีผู้ติดเชื้อในพื้นที่จังหวัดเลย
2) ดีปานกลาง มีผู้ติดเชื้อไม่มาก สามารถควบคุมได้ เช่น มีผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็น 2 เท่า ในรอบระยะเวลาทุกๆ 10 วัน
3) ต่ำกว่าเกณฑ์ต้องปรับปรุง มีผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็น 2 เท่า ในรอบระยะเวลาทุกๆ 5 วัน

2.รณรงค์ป้องกันเชิงรุก สร้างความเข้าใจ และการได้รับความร่วมมือจากประชาชน
2.1 การป้องกันโควิด ข้อเท็จจริงทำไม่ยาก เพราะไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง คือ ตา จมูก ปากเท่านั้น ถ้าปิดทางเข้าก็กันเชื้อไวรัสได้ และไม่มีหลักฐานยืนยันว่าไวรัสนี้สามารถติดต่อผ่านอากาศ (airborne) ในสภาพแวดล้อมปกติได้ ช่องทางหลักยังคงติดต่อผ่านละอองน้ำมูก น้ำลาย เช่น การถูกไอใส่หน้า การสัมผัสกับเชื้อไวรัส แล้วนำมาสัมผัสกับใบหน้าทำให้เชื้อโรคผ่านตา จมูก และปาก
2.2 คนแพร่เชื้อไม่ต้องมีอาการ สามารถแพร่เชื้อได้ ซึ่งอาจมีถึง 80 % เดินผ่านก็ไม่มีทางรู้เลยว่าติดเชื้อ ระยะฟักตัวอาจไม่พบว่ามีไข้ การตรวจวัดไข้ไม่ได้ช่วยอะไรมาก โดยเฉพาะการตั้งด่านตามถนน ตรวจรถทุกคันไม่ได้ รถติดมากก็ต้องทยอยไป พอรถจอดก็ทำได้แค่วัดไข้ เป็นมาตรการด้านจิตวิทยามากกว่า
2.3 จุดบกพร่องในการต่อสู้กับโควิด คือ การเน้นการรักษา ซึ่งต่อไปคนป่วยจะเกิดมากจนรักษาไม่ไหว ต้องให้ประชาชนช่วยอีกทาง คือ รณรงค์ป้องกันอย่างเข้มข้น โดย
1) สวมหน้ากากอนามัยที่ป้องกันไวรัสโควิดได้ให้มากที่สุด เมื่อเดินทางหรือออกนอกบ้าน
2) ล้างมือจนเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม
3) กินร้อน ช้อนกลางตนเอง
4) สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เช่น การออกกำลังกาย นอนให้เพียงพอ กินวิตามินเสริม ถ้าร่างกายแข็งแรงคนป่วยที่รักษาก็น้อยลง
2.4 ไวรัสจะทำร้ายเราได้จริงๆ แค่บุคคลที่ไม่มีภูมิต้านทาน หรือภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้สูงอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป หรือมีโรคประจำตัวอยู่ ถ้าเราแยกที่อยู่เฉพาะหรือระมัดระวังบุคคลเหล่านี้เป็นพิเศษก็จะลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดและป้องกันชีวิตได้
2.5 การรณรงค์ป้องกันเชิงรุกในจังหวัด ต้องทำคู่ขนานไปกับการค้นหาผู้ป่วยและการแกะรอยสอบสวนโรค จึงจะได้ผลและเสริมแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.การค้นหาผู้ป่วยและการแกะรอยสอบสวนโรคและนำเข้ามาในระบบสาธารณสุขให้เร็วที่สุด
3.1 ปัจจุบันสถานการณ์ในไทยยังไม่ได้เลวร้ายเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ แต่เราก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งการติดเชื้อ ยังมีการพบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่วันละเกือบ 100 ราย หากดำเนินการต่อไป แรงกดดันที่มีต่อระบบสาธารณสุขจะเพิ่มความเสี่ยงไปสู่การควบคุมไม่ได้ ต้องยอมรับความจริงว่าจำนวนคนที่ได้รับการตรวจว่าติดเชื้อในไทยถือว่าน้อย และมียอดสะสมรอการตรวจมากพอสมควร และผู้ติดเชื้อบางคนก็ไม่มีอาการซึ่งสามารถแพร่เชื้อได้ ดังนั้น เราต้องค้นหาผู้ป่วยและแยกรักษา ติดตามผู้เสี่ยงสูงที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย เพื่อแยกดูอาการมีการติดตามรายวัน
3.2 จังหวัดต้องตรวจสอบหาผู้ติดเชื้อให้เร็วที่สุด เมื่อได้ข้อมูลและแกะรอย ผู้ติดโรคหรือสัมผัสเชื้อ หรือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดให้ได้มากที่สุดหรือจนครบ 100 % เพื่อกักตัวตามมาตรการเฝ้าระวังโรค แนวทางตัวอย่างเช่น มีทีมทำงาน 3 ทีม
1) ทีมสอบสวนโรค ซักประวัติอย่างละเอียด กำหนดไทม์ไลน์ของพฤติกรรม รู้ถึงความสัมพันธ์ในระยะใกล้ – ไกล
2) ทีมที่ 2 ทำต่อเนื่อง เริ่มติดต่อไปยังกลุ่มเสี่ยงที่ได้ข้อมูลจากทีมสอบสวนโรค เริ่มจากโทรศัพท์ไปจนถึงตัวบุคคลทุกคน ซักถามเพิ่มเติมพฤติกรรมหลังจากนั้นเป็นอย่างไร มีอาการโรคหรือไม่ เข้าไปใกล้ชิดที่จะแพร่เชื้อให้กับคนอื่นบ้าง ถ้าได้ข้อมูลว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง ให้กักตัวในบ้าน 14 วัน และติดตามรายบุคคลจนครบกำหนด
3) ทีมที่ 3 ทำหน้าที่ตรวจสอบ กรณีพบผู้ติดเชื้อและไม่สามารถรับข้อมูลเพิ่มเติมจากการซักประวัติได้ จำเป็นต้องสอบสวนเพิ่มเติมอาจใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีความชำนาญ สอบสวนแกะรอยย้อนหลังอย่างละเอียด เพื่อค้นหากลุ่มเสี่ยงที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อให้มากที่สุด
3.3 จังหวัดจัดหาทุ่มเทบุคลากรทางการแพทย์และอาสาสมัครตรวจเชื้อ ในเชิงรุกและกว้างขวางให้มากขึ้นกว่าปกติอย่างน้อย 2 - 3 เท่า เพราะการตรวจหาผู้ป่วยได้เร็วจะช่วยหยุดการระบาดโรคในชุมชนและยังช่วยให้การรักษาได้ผลดีขึ้นโดยอาจกำหนดการตรวจเป็นโซนพื้นที่ให้ได้ผู้ติดเชื้อที่แท้จริง จะได้กักตัวหรือถ้าพบ ผู้สงสัยติดเชื้อจะได้ให้หยุดอยู่ในบ้าน 14 วัน เพื่อไม่ให้มีการกระจายของโรคไวรัส
3.4 จังหวัดต้องพยายามจัดหาชุดตรวจเชื้อโควิดให้มากพอจะไปสุ่มตรวจประชาชนที่ไม่มีอาการและเน้นกลุ่มเสี่ยงได้อย่างกว้างขวาง เพราะตามมาตรการการรักษาระยะห่างระหว่างกัน (ทางกายภาพ) แม้จะประสบความสำเร็จลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงได้ แต่การกลับไปใช้ชีวิตและเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติจะทำได้ต่อเมื่อมีการตรวจค้นหาผู้ป่วยอย่างกว้างขวาง เพื่อนำไปสู่การแยกตัวของผู้ติดเชื้ออย่างเคร่งครัด หากไม่ดำเนินการการแพร่ระบาดในระยะที่ 2 และ 3 จะตามมา
3.5 ใช้มาตรการค้นหาผู้ป่วยและการแกะรอยสอบสวนโรคอย่างเข้มข้นจริงจังล่วงหน้าดีกว่ามาตรการเริ่มจากเบาไปหาหนัก หากโรคแพร่กระจายในพื้นที่แล้วการควบคุมจะยากลำบากขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว

4.มาตรการการรักษาระยะห่างระหว่างกัน (Physical Distancing, Social Distancing)
4.1 โควิด 19 แพร่กระจายผ่านละอองฝอย โดยเฉพาะเวลาไอหรือจาม การรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยอย่างเข้มงวด จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นที่จังหวัดต้องขับเคลื่อนจริงจังเพื่อช่วยลดเชื้อติดต่อระหว่างกัน ซึ่งเป็นอาวุธที่ดีที่สุดและประหยัดใช้เงินน้อยที่จะชะลอการแพร่ระบาดกระจายเชื้อไวรัสอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรการนี้ถูกนำไปใช้ในหลายประเทศและได้ผล เพื่อให้การระบาดเป็นไปอย่างช้าๆ และระบบสาธารณสุขสามารถรับมือโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.2 ความกังวลของโควิด


อ่านเพิ่มเติม


ข่าวที่น่าสนใจ