“พนม ศรศิลป์” คุกอ่วม 91 ปีคดีทุจริตเงินทอนวัด ศาลสั่งชดใช้อีก 85 ล.

by ThaiQuote, 20 พฤษภาคม 2563

ศาลคดีทุจริตฯ อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำคุกอดีตผอ.พศ. “พนม ศรศิลป์” คดีทุจริตเงินทอนวัด รวมโทษหนักจำคุก 91 ปี พร้อมให้ชดใช้ค่าเสียหาย 85 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตการจัดสรรเงินงบประมาณ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) สำนวนที่ 6 หมายเลขดำ อท.280/2561 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามทุจริต 1 เป็นโจทก์ ฟ้องนายพนม ศรศิลป์ อายุ 61 ปี อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.), นายบุญเลิศ โสภา อายุ 54 ปี อดีตผอ.กองพุทธศาสนศึกษา พศจ.ลำปาง, นายณรงค์เดช ชัยเนตร อดีต ผอ.กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา, นายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี อายุ 50 ปี อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ , ทำ , จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นที่มิใช่ของตนหรือเป็นของผู้อื่น โดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารฯ ทำการรับรองหลักฐานเป็นเท็จ , เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 147,157,162 ประกอบมาตรา 83,86 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
อัยการโจทย์ระบุพฤติการณ์ความผิด สรุปได้ว่า ปีงบประมาณ 2556-2557 สำนักงาน พศ. ได้รับงบประมาณตามแผนงานงบประมาณ เงินอุดหนุนการปฏิบัติธรรมและครอบครัวอบอุ่นด้วยพระธรรม เงินอุดหนุนการผลิตสื่อการเรียนการสอนพระปรรยัติธรรม เงินอุดหนุนการจัดงานวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา และเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี มี ผอ.พศ.เป็นผู้มีอำนาจอนุมัติให้จ่ายเงินงบประมาณดังกล่าว

โดยประมาณต้นปี 2556 จำเลยที่ 2 ได้ไปพบเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เรื่องให้เงินอุดหนุนกับวัดบางอ้อยช้างจำนวน 2 ล้านบาท แต่ทางวัดบางอ้อยช้างจะต้องคืนเงินให้สำนักงาน พศ.จำนวน 1.6 ล้านบาท โดยจำเลยที่ 2 อ้างว่าจะ นำเงินไปช่วยเหลือวัดอื่น ๆ เจ้าอาวาสวัดเห็นว่าจะได้รับเงินมาบูรณะวัดที่กำลังทรุดโทรม เชื่อว่าเงินที่คืนให้กับจำเลยที่ 2 ไปสามารถช่วยทำประโยชน์แก่วัดต่างๆได้ จึงลงลายมือชื่อขอรับเงินงบประมาณตามที่จำเลยที่ 2 เสนอ จากนั้นจำเลยที่ 2 ได้เลือกวัดศรีเรืองบุญและวัดใหม่ผดุงเขตจ.นนทบุรีตามที่เจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้างเสนอ โดยจำเลยที่ 2 ได้ให้เจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้างดำเนินการแทนวัดศรีเรืองบุญและวัดใหม่ผดุงเขตเพื่อให้ได้รับเงินอุดหนุนดังกล่าว
ต่อมาวันที่ 12 ก.พ.2556 - 26 กันยายน 2557 จำเลยทั้งสี่กับพวกที่ยังหลบหนีได้ร่วมกันวางแผนสมคบกันทุจริตอนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณโครงการเงินอุดหนุนการปริยัติธรรมและครอบครัวอบอุ่นด้วยพระธรรม , โครงการผลิตสื่อการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม , โครงการเงินอุดหนุนการจัดงานวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา และโครงการเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงาน พศ.

โดยวันที่ 12 ก.พ. 2556 จำเลยที่ 2 อนุมัติการโอนเงินอุดหนุนจำนวน 2 ล้านบาทให้วัดบางอ้อยช้างและได้รับเงินคืนไปจำนวน 1.6 ล้านบาท โดยจำเลยที่ 2 ได้เบียดบังเงินดังกล่าวไปโดยทุจริตนำไปใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ส่วนตนสร้างความเสียหายแก่สำนักงาน พศ.
วันที่ 2 เม.ย.2556 จำเลยที่ 1-3 ขออนุมัติเงินเบิกจ่ายเงินงบประมาณโครงการผลิตสื่อการเรียนการสอนพระปริยัติธรรมใช้เงินงบประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อผลิตสื่อการสอนประกอบการเรียนการสอนธรรมศึกษาแก่วัดบางอ้อยช้าง ทั้งที่จำเลยที่ 1-3 รู้อยู่แล้วว่าวัดบางอ้อยช้างไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา จากนั้นเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้างได้โอนเงินคืนกลับให้จำเลยที่ 2 จำนวน 8 ล้านบาทโดยจำเลยที่ 1-3 ร่วมกันเบียดบังเงินงบประมาณดังกล่าวไป
วันที่ 1 พ.ย.2556 จำเลยที่ 1 ,2 ,4 ขออนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณอุดหนุนการจัดกิจกรรมวันสําคัญทางพระพุทธศาสนาประจำปีงบประมาณ 2557 ให้แก่วัดบางอ้อยช้างจำนวน 5 ล้านบาท , วัดศรีเรืองบุญจำนวน 4 ล้านบาท , วัดใหม่ผดุงเขตจำนวน 4.5 ล้านบาทโดยที่จำเลยที่ 1, 2, 4 และนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.พศ. (ยังหลบหนีคดี)ทราบอยู่แล้วว่าการพิจารณาอนุมัตเงินดังกล่าวไม่ถูกต้องตามระเบียบและวิธีการงบประมาณเนื่องจากเงินอุดหนุนการจัดกิจกรรมวันสําคัญทางพระพุทธศาสนาไม่อยู่ในกิจกรรมจำนวน 8 กิจกรรมของแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้เงินงบประมาณ และหลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ได้ขอรับเงินคืนจากวัดบางอ้อยช้างจำนวน 4 ล้านบาท , วัดศรีเรืองบุญจำนวน 3.2 ล้านบาท , วัดใหม่ผดุงเขต 3.6 ล้านบาท รวม10,800,000 บาท โดยจำเลยที่ 1,2,4 และนายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ.ได้เบียดบังเงินงบประมาณดังกล่าวไปโดยทุจริต

วันที่ 23 ก.ย.2557 จำเลยที่ 1, 2 ทำบันทึกข้อความเสนอนายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ. ขออนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลีประจำปีงบประมาณ 2557 แก่วัดบางอ้อยช้างจำนวน 1.5 ล้านบาท แล้วจำเลยที่ 2 ได้ไปขอรับเงินคืนจำนวน 1.3 ล้านบาท รวมเงินงบประมาณที่สำนักงาน พศ. โอนให้กับวัดบางอ้อยช้าง , วัดศรีเรืองบุญ , วัดใหม่ผดุงเขต เป็นเงินทั้งสิ้น 28 ล้านบาท และมีการรับเงินคืนไปรวม 21,700,000 บาท
พวกจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความ และพยานหลักฐานของทั้งสิงฝ่ายแล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1-3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 (เดิม) 157 (เดิม) 162 (4 ) (เดิม) ประกอบมาตรา 83 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ส่วนจำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 (เดิม) 157 (เดิม) 162 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ. 2542 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
พิพากษา จำคุกนายพนม จำเลยที่ 1 กระทงแรก 14 ปี กระทงที่ 2 จำคุก 15 ปี และกระทงที่ 3 อีก 6 ปี รวม 3 กระทงจำคุก 35 ปี
จำคุกนายบุญเลิศ จำเลยที่ 2 กระทงแรก 6 ปีกระทงที่ 2 จำคุก 14 ปีกระทงที่ 3 จำคุก 15 ปีและกระทงที่ 4 จำคุก 6 ปี รวม 4 กระทง จำคุก 41 ปี
นายณรงค์เดช จำเลยที่ 3 จำคุก 14 ปี และนายพัฒนา จำเลยที่ 4 จำคุก 10 ปี
ทางนำสืบของพวกจำเลย เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 23 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 2 จำคุกไว้ 27 ปี 4 เดือนจำเลยที่ 3 คงจำคุก 9 ปี 4 เดือนและจำเลยที่ 4 จำคุกไว้ 6 ปี 8 เดือน แลัวให้จำเลยที่ 2 ชดใช้เงินจำนวน 1.6 ล้านบาทคืนแก่ สำนักงาน พศ.ผู้เสียหาย ให้จำเลยที่ 1 ,2,4 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 10,800,000 บาท กับให้จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 1,300,000 บาทคืนแก่ผู้เสียหายอีกด้วย และให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.253/ 2561 , คดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.254/2561 , คดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.257/2561 , คดีอาญาหมายเลขดำที่ 32/2562 ของศาลนี้
นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.254/2561 , คดีอาญาหมายเลขดำที่ 32/2562
นับโทษจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ต่อจากโทษคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.257/2561

ต่อมา ศาลยังได้อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตการจัดสรรเงินงบประมาณสำนักงาน พศ. สำนวนที่ 7 ด้วยในคดีหมายเลขดำ อท.281/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายพนม อดีต ผอ.พศ. , นายบุญเลิศอดีต ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา พศจ.ลำปาง , นายแก้ว ชิดตะขบ อายุ 54 ปี อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองพุทธศาสนศึกษา , นางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร อายุ 51 ปี อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองพุทธศาสนศึกษา เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ , ทำ , จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่น โดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารฯ ทำการรับรองหลักฐานเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 147,157,162 ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
โดยโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2561 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2556 จำเลยที่ 1-4 ได้ร่วมกันขออนุมัติและเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม ต่อนายนพรัตน์ ผอ.พศ.(ขณะนั้น) ให้สนับสนุนงบประมาณการจัดการศึกษาพระปริยติธรรมให้แก่สำนักเรียนที่มีความพร้อมด้านการบริหารจัดการจำนวน 15 ล้านบาท ให้แก่วัดบางอ้อยช้าง 5 ล้านบาท และทางเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้างได้คืนเงินให้กับจำเลยที่ 2 ไป 4 ล้านบาท จำเลยที่ 1-4 และนายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ. ร่วมกันเบียดบังเงินงบประมาณไปโดยทุจริต
วันที่ 26 ก.ค. 2556 จำเลยที่ 1 และถึงที่ 4 ร่วมกันขออนุมัติและเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมโดยใช้งบประมาณ 8 ล้านบาทให้แก่วัดใหม่ผดุงเขต 2.5 ล้านบาท วัดศรีเรืองบุญ 3 ล้านบาท ก่อนที่จำเลยที่ 2 จะมาขอรับเงินคืนไปจากวัดใหม่ผดุงเขต 2 ล้านบาทและวัดศรีเรืองบุญ 2.4 ล้านบาท
วันที่ 6 ส.ค.2556 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ขออนุมัติและเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมต่อนายนพรัตน์จำนวน 9 ล้านบาทมอบให้แก่วัดศรีเรืองบุญ วัดใหม่ผดุงเขตและวัดอ้อยช้างวัดละ 2 ล้านบาท ก่อนที่จำเลยที่ 2 มาขอรับเงินคืนไปวัดละ 1.6 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 23 ก.ย.2556 จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันขออนุมัติและเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมจากนายนพรัตน์ 20 ล้านบาท ให้แก่วัดบางอ้อยช้าง 6 ล้านบาทวัดศรีเรืองบุญ และวัดใหม่ผดุงเขตวัดละ 3 ล้านบาททั้งที่พวกจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าวัดทั้งสามไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาในสังกัดหรือตั้งอยู่ จากนั้นจำเลยที่ 2 ได้มาขอรับเงินคืนไปจากวัดบางอ้อยช้างจำนวน 4.8 ล้านบาท วัดศรีเรืองบุญและวัดใหม่ผดุงเขตวัดละ 2.4 ล้านบาทโดยจำเลยที่ 1-4 และนายนพรัตน์ร่วมกันเบียดบังเงินงบประมาณไปโดยทุจริตเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตนสร้างความเสียหายแก่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)
จำเลยที่ 1-4 ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี ระหว่างพิจารณาคดีจำเลชทั้งหมดถูกคุมขังในเรือนจำ
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความแลัวพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 1-4 มีความผิดตามฟ้อง เป็นการกระทำผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์ฯ ตาม ป.อ.มาตรา 147 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุด
พิพากษา จำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ 4 กระทงๆแรก 9 ปี , กระทงที่ 2-3 กระทงละ 10 ปี เป็น 20 ปี , และกระทงที่ 4 จำคุกอีก 15 ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้นคนละ 44 ปี
ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสี่ไว้คนละ 29 ปี 4 เดือนและให้จำเลยร่วมกันชดใช้เงิน 28,500,000 บาท คืนสำนักงาน พศ.ผู้เสียหายด้วย
พร้อมกับนับโทษของนายพนม อดีต ผอ.พศ.จำเลยที่ 1 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท. 253/2561 , อท.254/2561, อท.257/2561 , อท.32/2562 , อท.280/2561 , อท.43/2562 ของศาลอาญาคดีทุจริตฯ นี้ด้วย
ส่วนนายบุญเลิศ อดีต ผอ.กองพุทธศาสนฯจำเลยที่ 2 ให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.254/2561,อท.280/2561, อท.32/2562 ของศาลนี้ด้วย
สำหรับนายแก้ว อดีตนักวิชาการกองพุทธศาสนศึกษา จำเลยที่ 3 และนางพรเพ็ญ อดีตนักวิชาการ กองพุทธศาสนศึกษา จำเลยที่ 4 ให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.254/2561 , อท.32/2562 ของศาลนี้ด้วย

อนึ่ง สำหรับโทษจำคุกของนายพนม ศรศิลป์ อดีตผอ.พศ. ที่ศาลอ่านคำพิพากษารวม 7 สำนวน จะต้องรับโทษจำคุกทั้งสิ้น 91 ปี 36 เดือน และต้องร่วมกับพวกชดใช้คืนพศ.เป็นเงินทั้งสิ้น 85,207,235 บาท โดยนายพนมยังมีโอกาสอุทธรณ์สู้คดีตามกฎหมายต่อไป

ขอบคุณข้อมูล แนวหน้า

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สั่งจำคุก' อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ คดีเงินทอน36เดือน