สิ่งแวดล้อมดีเพราะโควิด แต่เศรษฐกิจจะเดินยังไง หาคำตอบจากแบงก์ชาติ

by ThaiQuote, 3 กรกฎาคม 2563

 

สิ่งดีที่ได้มาจากโควิด-19 คือสิ่งแวดล้อมทั้งโลกที่ดีขึ้นเพราะกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์หยุดชะงักลง แต่เศรษฐกิจจะเดินต่ออย่างไรท่ามกลางการฟื้นฟู แบงก์ชาติไทยมีมุมมองเรื่องนี้

 

ตัวเลขการประเมินของ International Energy Agency หรือ IEA หน่วยงานที่มีชื่อภาษาไทยว่า "ทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ" สะท้อนสถานการณ์การใช้พลังงานของคนทั้งโลกในช่วงล็อกดาวน์เพราะปัญหาโควิด-19 และคาดการณ์ว่าในปี 2564 ปริมาณการใช้พลังงานของทั้งโลกจะหดตัวถึง 6% และยังเป็นการหดตัวที่สูงที่สุดในรอบถึง 70 ปี และมันยังผลต่อเนื่องไปสู่การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เป็นชนวนเหตุสำคัญของการทำให้เกิดภาวะโลกร้อนให้มีตัวเลขต่ำที่สุดจากทุกวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ใบนี้

ข้อมูลนี้ พอจะอนุมานได้หรือไม่ว่า "โควิด-19" ก็มีคุณูปการสำหรับโลกมนุษย์อยู่บ้าง โดยเฉพาะกับเรื่องของสิ่งแวดล้อม แม้ว่าพิษสงจะทำลายเศรษฐกิจในหลาย ๆ ชาติไปมากมายก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์ของสิ่งแวดล้อมสะท้อนได้อย่างชัดเจน ว่าโควิด-19 มีส่วนพอสมควร เพราะการล็อกดาวน์ส่งผลให้เศรษฐกิจหลายประเทศหยุดชะงัก กิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ถูกจำกัดอยู่ในบ้านพักมากขึ้น แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นแทบทุกพื้นที่ของโลก กระนั้น เมื่อว่ากันตามจริง สังคมโลกจะยอมแลกได้หรือไม่กับเศรษฐกิจที่ยังคงพึ่งพาอุตสาหกรรม ที่อาจจะมีส่วนทำลายสิ่งแวดล้อมโลกบ้าง แต่สิ่งที่ได้มาคือคุณภาพชีวิตที่น่าจะดีขึ้นจากผลพวงของสิ่งแวดล้อมที่ดีตาม

ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. สะท้อนมุมด้านนี้เอาไว้เช่นกัน โดยมองถึงภาพที่ว่าเราจะเดินคู่กันไปได้อย่างไร ระหว่างการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่จำเป็นต้องเร่งเครื่องทั้งโลกรวมถึงไทย ขณะเดียวกันก็แน่นอนว่าทุกคนอยากได้สิ่งแวดล้อมที่ดีเหมือนกัน

ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธปท. ฉายภาพข้อมูลว่า ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษ ที่คาดว่าจะลดลงอย่างมากเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ สืบเนื่องจากผลการล็อกดาวน์ในหลายประเทศสำคัญทางเศรษฐกิจทั่วโลก อาทิ เมืองอู่ฮั่นในจีน เมืองมิลานของประเทศอิตาลี กรุงโซล ในประเทศเกาหลีใต้ หรืออินเดียที่ครองอับดับหนึ่งในฐานะประเทศที่มีจำนวนเมืองมีมลพิษมากที่สุดของโลก

มลพิษที่ลดลงมากในช่วงล็อกดาวน์ส่งผลชัดเจนจนสามารถมองเห็นยอดเขาหิมาลัยจากระยะทาง 200 กิโลเมตรได้เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ส่วนประเทศไทยนั้น ในช่วงมาตรการล็อกดาวน์กลางเดือนมีนาคม ถึงปลายเมษายน

กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้ว่าค่าเฉลี่ยฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าค่ามาตราฐานและลดลงไปกว่า 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งปกติแล้วในช่วงเดือน ธ.ค.-มี.ค. ของทุกปีย้อนหลังตั้งแต่ ปี 2554 ค่าเฉลี่ยฝุ่นพิษ PM2.5 ในกรุงเทพฯ เกินค่ามาตรฐานมาโดยตลอด และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นด้วย

หลังเกิดการแพร่ระบาดของโรค ส่วนสำคัญที่ทำให้สภาพอากาศดีขึ้นนั้นเกิดจากการเดินทางที่ลดลงอย่างมีนัย ทั้งทางบกและอากาศ IEA ระบุว่าการขนส่งทางถนนลดลงถึง 50-75 % ในเมืองที่มีการล็อกดาวน์ โดยช่วงสิ้นเดือน มี.ค. กิจกรรมขนส่งทางถนนทั่วโลกลดลงไปถึง 50% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน

เช่นเดียวกับการจราจรทางอากาศ ที่สายการบินทั่วโลกพร้อมใจลดเที่ยวบินลง จากรายงานของ EUROCONTROL ซึ่งเป็นหน่วยงานผู้ให้บริการการเดินอากาศให้กลุ่มประเทศยุโรป ยุโรปได้ลดเที่ยวบินลงราว 80% ตั้งแต่ช่วงกลางเดือน มี.ค. และยังดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน ถนนในเมืองใหญ่ที่แทบจะไม่มีรถสัญจรไปมา หรือเครื่องบินที่จอดนิ่งเรียงรายบนรันเวย์ คงเป็นภาพที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่งหากไม่มีสถานการณ์โรคระบาดที่รุนแรงเฉกเช่นครั้งนี้

เมื่อลองเปิดใจมองในหลายมุม คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการล็อกดาวน์นั้นถือเป็นต้นทุนที่สูงยิ่งในการแลกมาด้วยสภาพอากาศและภาวะโลกร้อนที่ปรับดีขึ้น หลายท่านได้ออกมาเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมที่แท้จริง ควรเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตและการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบในระยะยาวเท่านั้น หาใช่การเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวในระยะเวลาการล็อกดาวน์ก่อนจะกลับสู่การใช้ชีวิตด้วยพฤติกรรมในรูปแบบเดิม

นอกจากนี้เมื่อเราอยู่บ้านมากขึ้น พฤติกรรมการสั่งซื้ออาหารและสิ่งอุปโภคบริโภคผ่านทางออนไลน์ ส่งผลให้ปริมาณขยะโดยเฉพาะขยะพลาสติกที่ลดลงไปจากการรณรงค์และการห้ามใช้ในช่วงก่อนหน้ากลับมามีปริมาณเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ดี มุมที่เป็นด้านบวกคงกล่าวได้ว่าปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงในช่วงที่ไวรัสแพร่ระบาดเป็นสิ่งดีที่เกิดขึ้นแล้วที่มีต่อธรรมชาติและสภาพอากาศ แม้จะเป็นเพียงแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ได้ยั่งยืน และต้นเหตุมาจากไวรัสที่ส่งผลร้ายต่อชีวิตของประชาชนและเศรษฐกิจอย่างประเมินไม่ได้

หากแต่ในมุมมองด้านบวกยังทำให้เราเห็นทางออกของการลดภาวะโลกร้อน จากการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สามารถเกิดขึ้นได้ภายใต้การกำหนดนโยบายของภาครัฐ และที่ขาดไม่ได้คือความร่วมมือของประชาชนและภาครัฐจากนานาประเทศทั่วโลก เช่นเดียวกับที่ทุกประเทศพร้อมใจกันปรับพฤติกรรมไปในรูปแบบเดียวกันเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด - 19

ธปท.แนะนำว่า อาจจะเริ่มง่าย ๆ ด้วยการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานมาทำงานที่บ้านมากขึ้นหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สิ้นสุดลง เพื่อช่วยลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น ซึ่งแม้พนักงานจะทำงานที่บ้านแต่งานที่ได้อาจไม่ด้อยลง ซ้ำยังมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยในบางกรณี หรือ ปรับเปลี่ยนการใช้วัสดุจากธรรมชาติมากขึ้นในการบรรจุภัณฑ์หีบห่อต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกลงได้ แม้จะยังคงสั่งอาหารหรือของใช้ทางออนไลน์มากขึ้นก็ตาม

ส่วนภาครัฐเองก็มีหน้าที่ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งแม้จะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มทุนสำหรับเอกชนแต่ละราย แต่ในภาพรวมแล้วมีความจำเป็นกับสังคมอย่างยิ่งยวด ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวอาจช่วยสร้างงานสร้างอาชีพได้อีกเป็นจำนวนมากรองรับผู้ว่างงานในปัจจุบัน และยังสร้างรากฐานในการรักษาสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้อีกด้วย

จึงเป็นความท้าทายของประชาชนและภาครัฐทั่วโลกที่จะต้องร่วมมือกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เรายังมีโลกที่จะใช้ชีวิตต่อไปได้ พร้อม ๆ กับการเติบโตอย่างเต็มศักยภาพเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต

 

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ 

โควิด-19 ตัวเร่งเอเชียเปลี่ยน "การกิน" มุ่งหาอาหารเสริมสร้างภูมิให้ร่างกาย

เจ้าของแฟรนไชส์ Pizza Hut ในสหรัฐฯ ยื่นล้มละลาย หนี้อ่วม! พันล้านเหรียญฯ