“บิตคอยน์” มูลค่าพุ่ง ทำพลังงานโลกสั่นคลอน

by ThaiQuote, 9 กุมภาพันธ์ 2564

ยิ่งขุดยิ่งหายนะ?!? แม้ “บิตคอยน์” จะสร้างรายได้ ให้กับนักลงทุนมหาศาล แต่ก็ทำลายโลกได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ภายหลัง บริษัท เทสลา อิงก์ บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของ อีลอน มัสก์ ทุ่มลงทุนซื้อบิตคอยน์ในที่มีอยู่ในตลาดในมูลค่ากว่า 1,500 ล้านดอลลาร์ หรือราว 45,000 ล้านบาท การทุ่มทุนซื้อดังกล่าว ทำให้มูลค่าของ “บิตคอยน์” พุ่งทะยาน จากเดิม 5,440 ดอลลาร์/เหรียญ (163,200 บาท) เป็น 46,000 ดอลลาร์/เหรียญ ( 1.38 ล้านบาท) และมีแนวโน้มที่จะพุ่งขึ้นเรื่อยๆ

แม้บิตคอยน์ จะสร้างรายได้มหาศาลให้กับนักลงทุนทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย แต่เหรียญมักมี 2 ด้าน และอีกด้านหนึ่งในมุมมืด บิคอยน์ กลับกำลังทำลายทรัพยากรของโลกอย่างรวดเร็ว

ที่มาของ บิตคอยน์ คือ การการนำคอมพิวเตอร์ของคุณเข้าไปช่วยการประมวลผลการทำงานของระบบบิตคอยน์ เครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องแข่งประมวลผลการทำรายการให้ได้เร็วที่สุด โดยเรียกวิธีการว่า “การขุดบิตคอยน์” แล้วรู้หรือไม่ว่า “การขุดบิตคอยน์” ดังกล่าว ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นจำนวนมากแค่ไหน

ข้อมูลจาก มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ พบว่าตั้งแต่เดือน ธ.ค.63 -ม.ค.64 มีการใช้พลังงานเพื่อการขุด บิตคอยน์ อยู่ที่ระหว่าง 80-120 เทราวัตต์ชั่วโมงต่อปี โดยกราฟดังกล่าวเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่เข้าสู่เดือน ม.ค.64

จากการศึกษา (ในปี 2562) พบว่า บิตคอยน์ใช้พลังงานไฟฟ้าประมาณ 61.76 เทราวัตต์ชั่วโมง (TWh) ต่อปี โดย 1 TWh จะเท่ากับ 1 พันล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมงต่อปี ซึ่งมากกว่าการใช้ไฟฟ้าของประเทศจำนวนมาก และคิดเป็นสัดส่วน 0.28% ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งโลก

หากเปรียบเทียบ การใช้ไฟฟ้าของ บิตคอยน์ กับประเทศต่างๆ เราจะพบว่า บิตคอยน์ ได้ใช้พลังงานไฟฟ้ามากกว่า การใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีการใช้ไฟฟ้า 58.46 TWh ซึ่งถือเป็นเป็นประเทศที่ใช้ไฟฟ้ามากอันดับที่ 41 ของโลก ด้านประเทศไทย เรามีการใช้ไฟฟ้า 187.7 TWh ต่อปี สูงสุดเป็นอันดับ 22 ของโลก

ด้านผลการศึกษาของ “Alex De Vries” ผู้ก่อตั้งนิตยสารคริปโตเคอร์เรนซีออนไลน์ Digiconomist พบว่า ปัจจุบัน การขุดบิตคอยน์ทั้งโลกใช้พลังงานถึงกว่า 78 เทราวัตต์ โดยการส่งบิตคอยน์ 1 ครั้ง จะเทียบเท่ากับการใช้ไฟฟ้า ของ 1 ครัวเรือนในเวลาถึง 2 เดือนเลยทีเดียว

ที่น่าตกใจคือ การส่งบิตคอยน์ 1 ครั้ง ใช้พลังงานเทียบเท่าการดูยูทูปยาวนานถึง 52,000 ชั่วโมง และในปริมาณพลังงานที่เท่ากัน บริษัท Visa ประมวณผลธุรกรรมได้ถึง 780,000 รายการ

ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้การขุดบิตคอยน์ ใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง เนื่องมาจาก 98% ของการขุดต้องใช้อุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีส่วนในการตรวจสอบธุรกรรมใด ๆ โดยมีเพียง 2% ที่ทำงานได้เร็วพอและถอดรหัสเพื่อเป็นผู้เพิ่มบล็อกถัดไปลงไปบนบล็อกเชนได้

 

นอกจากนี้ข้อมูลของ “Alex De Vries” ยังบ่งชี้อีกว่า ธุรกิจการขุดบิตคอยน์ ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศจีน ซึ่งใช้พลังงานถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า โดยถ่านหินเหล่านี้เป็นต้นเหตุของการก่อมลพิษมากเป็นลำดับต้นๆ ของโลก

ขณะที่ข้อมูลการวิจัยของ มหาวิทยาลัย ฮาวาย ในปี 2561พบว่า พลังงานไฟฟ้า ที่บิตคอยน์ และเงินดิจิทัลตระกูลอื่นๆใช้ในการถ่ายโอนนั้น อาจทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นถึง 2 องศาเซลเซียส ในปี 2576

สำหรับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 2 องศาฯ ดังกล่าว อาจทำให้ปริมาณน้ำในบางพื้นที่ของทวีปแอฟริกา และทะเลเมดิเตอเรเนียน ลดลงมากถึง 30% นอกจากนี้อาจเป็นสาเหตุทำให้ หมีขั้วโลก เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และผู้คนกว่า 10 ล้าน ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมพื้นที่ชายฝั่งอีกด้วย

นอกจากนี้ พลังงานที่ใช้ในกระบวนการบิตคอยน์ ยังก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มากถึง 19.0 - 29.6 ล้านเมตริกตัน คาร์บอนฟุตปรินต์ของคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดในการทำธุรกรรมแต่ละครั้งเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 233.4 - 363.5 กก.

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแม้การขุดบิตคอยน์จะหันเหทิศทางมาใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้น อย่างเช่น การใช้พลังงานจากโรงไฟฟ้าพลังงานลม อย่าง ฟาร์มขุดบิตคอยน์ใหญ่ที่สุดในโลกของ Bitmain ในเมืองร็อกเดล รัฐเท็กซัส สหรัฐฯ ซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการใช้ถ่านหิน

หรือการใช้พลังงานไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ที่มาจากเขื่อน ในพื้นที่มณฑลเสฉวนของจีน ซึ่งประมาณการกันว่า เป็นแหล่งรวมโรงงานขุดบิตคอยน์ขนาดใหญ่ มากกว่า 48% ของกำลังการขุดทั่วโลก แต่การสร้างเขื่อนก็ทำให้สูญเสียพื้นที่ทรัพยากรป่าไม้ รวมทั้งสูญเสียความสมดุลของทรัพยากรสัตว์น้ำไปเช่นกัน

หากลองมองย้อนอดีตที่แล้วมา เราพบว่า บิตคอยน์ ได้ทำให้โลกต้องสูญเสียทางด้านพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่ทำให้โลกมีสุขภาพที่แย่ลง โดยแลกมาซึ่งรายได้ของนักลงทุน ที่มีมูลค่ามหาศาลเพียงไม่กี่คน นั้นคุ้มค่าและทดแทนกันได้แล้วหรือ

 

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

รู้จัก “ซาแซ-โหงวแซ” เครื่องไหว้ตรุษจีน เลือกถูก! มีแต่เฮงเฮงเฮง