ดร.สมฤดี ระบุ “เสียง”สื่อเสน่ห์แรงการตลาด

by ThaiQuote, 14 ธันวาคม 2560

ถึงตอนนี้ดร.สมฤดีกล่าวว่า นักการตลาดที่ต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมาย Gen x โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Gen Y ทราบดีว่าอิทธิพลของเพลงและดนตรีมีผลทางจิตใจต่อกลุ่มเป้าหมายสองกลุ่มนี้มากที่สุด การสร้างบรรยากาศของภาพยนตร์โฆษณาด้วยเสียงเพลงประกอบ Jingle ที่แต่งมาอย่างสุดชีวิต และหลายครั้งที่สินค้าที่เข้ากลุ่มวัยรุ่นก็ใช้เสียงเพลงนี้เองที่เป็นพระเอกของเรื่อง การใช้ดารานักร้องที่มีชื่อเสียงมาร้องเพลงโฆษณาที่แต่งขึ้น การทำ Music Marketing การจัดงานคอนเสิร์ต มหกรรมดนตรีรวมกับนักร้องดัง วงดัง กลายเป็นค่านิยมปัจจุบันของสินค้าที่ต้องการเจาะกลุ่มวัยรุ่น เพราะกลุ่มนี้เองหลายคนยึดเอาดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ ดนตรี คือวัฒนธรรมของสังคมกลุ่มย่อย ดนตรี คือศาสนาที่หลายคนบูชา ดาราของเขาเหมือนศาสดา ไม่ว่าจะเป็น MichaeI Jackson, Elvis, The Beatles ฯลฯ ปัจจุบันการใช้เสียงประกอบเพื่อสร้างบรรยากาศนี้ไปไกลกว่าการสร้าง Jingle หรือภาพยนดร์โฆษณา ธุรกิจที่มีหน้าร้านมีโชว์รูมที่ต้องต้อนรับลูกค้า ร้านอาหาร ร้านบูติก โรงแรม โรงพยาบาล สถานที่พักผ่อน สปา ฯลฯต่างต้องรู้จักเลือกดนตรีที่สร้างบรรยากาศให้เหมาะสมในการออกงานใหญ่ เช่น มอเตอร์โชว์ก็จะมีการแสดงทั้งภาพและเสียง พริตตี้ในชุดวาบหวามและเพลงที่แดนซ์กันกระจาย เพื่อเรียกร้องคนให้หยุดชมที่บูธของตนถือเป็นการประชันสุดเหวี่ยงทั้งการแสดงและเสียง ถึงตรงนี้ ดร.สมฤดี ยังได้ยกกรณีประเทศญี่ปุ่นว่า ในตลาดสดทันสมัยจะมีการแข่งขันที่น่าสนใจ เพราะจะมีการตะโกนเรียกลูกค้าคู่กับการโค้งคำนับเชิญชวน ทั้งนี้เป็นประเทศที่ความเจริญก้าวหน้าสุดแต่ก็ยังนิยมให้พนักงานตะโกนเรียกลูกค้าแข่งกันถือเป็นการสร้างบรรยากาศและสีสันเหมือนกับตลาดในมาบุญครอง หรือตลาดจตุจักร หรือแม้แต่แผงลอยข้างถนน ซึ่งคนไทยและต่างประเทศก็สนุกและชอบเหมือนกัน การใช้ดนตรีและเสียงเพลงเพื่อช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าให้เจาะอารมณ์เข้ากลุ่มเป้าหมาย คือ ยุทธศาสตร์ที่นักการตลาดปัจจุบันให้ความสนใจมากที่สุด และสงครามการเลือกดารา เลือกนักร้องค่าตัวแพงก็ถูกช่วงชิงกัน จนในที่สุดแต่ละสินค้าก็ต้องเลือกแนวดนตรี แนวเพลงเพื่อมิให้ซ้ำกัน บางสินค้าก็เลือกเพลงเพื่อชิวิต บางสินค้าก็เลือกเพลงป๊อป บางสินค้าก็เลือกเพลงร็อก แต่ที่น่าสนใจคือการเลือก Jingle และเพลงประกอบเพื่อสร้างบรรยากาศให้กับภาพยนตร์โฆษณากลายเป็นงานที่ยากที่สุด เพราะต้องอาศัยนักฟังที่หูอาชีพเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องอารมณ์เพลงโดยเฉพาะ

  1. การสร้างพลังอารมณ์ที่รู้สึกได้ด้วยธรรมชาติ

อาหาร คือ พลังจูงใจวิเศษ สำหรับในประเด็นของหัวข้อนี้ ดร.สมฤดีได้กล่าวว่าหลายปีมาแล้วมีโฆษณาสำหรับสินค้าเด็กชิ้นหนึ่ง เป็นภาพเด็กน่ารักอ้าปาก (มองด้านข้าง) และมือถือช้อนกำลังจะป้อนเข้าปาก หัวเรื่องเขียนว่า “The Best way their Hearts, is Through their Mouths.” ถ้าแปลเป็นไทยก็อาจจะไม่ประทับใจเท่าภาษาอังกฤษ “วิธีที่เข้าถึงหัวใจเขา (เด็ก) คือเข้าทางปาก” เป็นโฆษณาขาวสะอาดเรียบง่าย แต่คำพูดกินใจและถูกต้องที่สุด ไม่มีใครกล้าเถียงเลย แสดงว่าคนเขียนเข้าถึงจิตวิทยาคุณแม่ซึ่งเข้าใจจิตวิทยาเด็กเพราะสำหรับเด็กสิ่งวิเศษที่สุดคือการได้กินอาหารที่ตัวเองชอบ เรื่องเดียวนี่แหละอย่างอื่นเป็นส่วนประกอบ อันที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่จิตวิทยาเด็กอย่างเดียวแม้ผู้ใหญ่ก็เช่นเดียวกัน เรื่องอาหารกลายเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตประจำวัน เพราะถ้าไม่กินก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้ ถ้าคนยากจนก็ต้องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องหาเช้ากินค่ำ หรืออดมื้อกินมื้อ พระท่านจึงตัดใจลดให้น้อยลงเหลือวันละสองมื้อจะได้ไม่รบกวนโยมมาก แต่สำหรับคนที่มีสตางค์แล้วไม่ว่าจะระดับไหน เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่สุด เช้าตื่นขึ้นมาคุณแม่บ้านก็ต้องเตรียมไว้ว่าเช้านี้จะกินอะไร กลางวันจะกินอะไร เย็นจะกินอะไร แต่ทุกวันนี้พัฒนาการกินของมนุษย์ก้าวไกลไปจนกลายเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่สุด ทำเงินมากที่สุด สินค้าที่ขายมากที่สุดในตลาดคือเรื่องอาหารนี่เอง ด้วยเหตุนี้อาหารทุกวันนี้จึงมีให้เลือกมากมายวิจิตรพิสดาร เพื่อเอาใจนักกินนักชิมทั้งหลาย อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มประมาณว่าอาจจะถึง 8O % ของสินค้าที่ขายกันในตลาด มีการแข่งขันมากที่สุด ธุรกิจระดับโลกนับแต่กลุ่มเครื่องดื่ม Coke, Pepsi สุรา เบียร์ ไวน์ดังของโลก Nestle, General Foods ไปจนถึงร้านอาหารเครื่องดื่มดัง อาทิ McDonold’s, KFC, Pizza Hut, Starbucks สำหรับในเมืองไทยนี้ ดร.สมฤดียังได้กล่าวว่าไม่น้อยหน้าใคร เพราะเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด มีอาหารขายทุกชนิด ขายตลอด 24 ชั่วโมงไม่เคยหลับ ร้านอาหารมีทุกถนน ทุกตรอกซอกซอยเพราะคนไทยก็มีนิสัยชอบกิน หลายคนถึงกับตั้งคติว่า “เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องตายเป็นเรื่องเล็ก” บรรดาเซียนนักชิมนักแสวงหาเหล่านี้จะซอกซอนตระเวนหาร้านอร่อย ไม่ว่าจะอยู่ซอกมุมไหนของเมืองจนตอนหลังมีรายการ“เชลล์ชวนชิม”ของหม่อมถนัดศรี ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นตรารับประกันความอร่อยที่ทุกร้านอาหารอยากได้ วันนี้ธุรกิจบริการที่ใหญ่ที่สุดคือห้างใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น สยามพารากอน ,เซ็นทรัลเวิลด์, เอ็มโพเรียม ,เดอะมอลล์ และห้างเช็นทรัล ทุกสาขาต่างก็ประชันกันในการเลือกร้านอาหารอร่อย ตกแต่งสวยงาม บรรดาแฟรนไชส์ดังแทบทุกยี่ห้อที่ดาหน้ามาประชันกันอย่างสุดเหวี่ยง กลายเป็น Highlight เป็นชั้นที่คนเดินแน่นหนาที่สุด ในขณะที่ชั้นอื่นว่างเดินสบายก็เพราะอิทธิพลเรื่องปาก เรื่องกิน ซึ่งเป็นอารมณ์จูงใจที่เป็นแม่เหล็กใหญ่และแนวความคิดนี้ก็กระจายไปทั่วประเทศทุกจังหวัด เเม้เเต้ในห้างโมเดิร์นเทรด ไม่ว่าจะเป็นโลตัส บิ๊กซี หรือแม็คโคร อาหารจึงกลายเป็นเสน่ห์ใหม่ของการทำการตลาดธุรกิจบริการ ซึ่งปัจจุบันได้เกิดธุรกิจใหม่ที่เรียกว่า Community Mall แหล่งชุมนุมร้านอาหารดังทุกชนิดทั้งอาหารไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น เกาหลี หลายหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ก็พยายามสร้างเป็นไฮไลท์เพื่อเชิญชวนให้คนมาซื้อหมู่บ้าน แนวความคิดทางการตลาดเรื่องอาหารและการเชิญชวนลูกค้าให้ชิมสินค้า ทดลองสินค้าหลายสินค้าที่เกิดใหม่จะใช้วิธีจัดซุ้มเชิญชิม แจกให้ชิม ซึ่งถือว่าได้ผลดียิ่งกว่าโฆษณาแต่เพียงอย่างเดียว เพราะทำให้ลูกค้ามีโอกาสสัมผัสของจริง ซึ่งในยุทธศาสตร์การตลาดเทคนิคเรื่อง “Sampling” หรือตัวอย่างแจกฟรีให้ชิมนี้ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิผลที่สุด ถ้าลูกค้าได้ชิมและสินค้ารสชาติดีจริง แต่ในทางคุ้มค่าก็ถือว่าเป็นการลงทุนค่อนข้างสูง ร้านอาหารบางแห่งจะมีรายการโปรโมชั่นเมนูใหม่ด้วยการแจกฟรีเป็นการพิเศษให้ลูกค้าเห็นว่าตรงกลุ่มเป้าหมาย ได้ลองชิมจานพิเศษและหลายครั้งก็ได้ผล เพราะทำให้เมนูใหม่นั้นถูกใจลูกค้ามาทีไรก็สั่งอีก สิ่งที่พัฒนาในวงการอาหารคือ การออกแบบจัดเรียงอาหารให้สวยงาม กลายเป็นงานศิลปะ ใช้จานใบใหญ่ขาวสะอาด และวางสินค้าเหมือนกับศิลปิน มีสไตล์ มีคอนเซปต์ ซึ่งร้านอาหารใหญ่ๆ ใช้เป็นจุดเด่นของสามมิติ คือ ภาพอาหารสวยน่ากิน กลิ่นหอม และสัมผัสได้ด้วยการชิม กำลังอ่านสนุกพอดีก็จบซะแล้ว อดใจไว้อ่านกันต่อในตอนหน้าซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของหัวข้อ “สร้างแบรนด์ตรึงอารมณ์” (Emotional Branding) รับประกันได้ว่าคุณจะได้รับสาระดี ๆที่จะมาเติมเต็มการทำธุรกิจของคุณได้อีกมากโขนะจะบอกให้ แล้วพบกันในตอนหน้า

Tag :