คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบกรอบนโยบาย/แนวทางปฏิบัติโรคโควิด 19 จากโรคติดต่ออันตราย เหลือต้องเฝ้าระวัง เริ่ม 1 ต.ค.นี้

by ThaiQuote, 8 สิงหาคม 2565

ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติเห็นชอบกรอบนโยบายและแนวทางปฏิบัติ เฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคโควิด 19 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยลดระดับลงมาจากโรคติดต่ออันตราย เหลือต้องเฝ้าระวัง เริ่ม 1 ต.ค.นี้

 

 

ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติเห็นชอบกรอบนโยบายและแนวทางปฏิบัติ เฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคโควิด 19 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ให้สถานพยาบาลบริหารจัดการยา วัคซีน เวชภัณฑ์ ใช้กระบวนการเดียวกับโรคติดเชื้ออื่น ๆ ประชาชนสามารถเข้ารับการรักษาได้ตามสิทธิ์ พร้อมพิจารณาปรับโรคโควิด 19 จากโรคติดต่ออันตรายเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ให้สถานพยาบาลบริหารจัดการยา วัคซีน เวชภัณฑ์ ใช้กระบวนการเดียวกับโรคติดเชื้ออื่น ๆ ประชาชนสามารถเข้ารับการ

วันนี้ (8 สิงหาคม 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2565 โดยมี นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมประชุม

นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีการหารือใน 4 ประเด็นสำคัญ คือ 1) มีมติเห็นชอบกรอบนโยบายในการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ได้แก่ สามารถควบคุมการระบาดให้สถานการณ์อยู่ในระดับรุนแรงน้อย โดยพิจารณาตามจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลต่อวัน อัตราครองเตียงผู้ป่วยหนัก และผู้เสียชีวิต, สามารถเข้าถึงบริการวัคซีน ยาต้านไวรัสได้ง่ายและสะดวก และประชาชนมีพฤติกรรมป้องกันตนเองอย่างถูกต้องเหมาะสม ส่วนแนวทางปฏิบัติ แบ่งเป็น ด้านกฎหมายปรับสถานะโรคโควิด19 ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์, ด้านการแพทย์ ปรับแนวทางแยกกักผู้ป่วย สถานพยาบาลเอกชน และคลินิก สามารถจัดหายาต้านไวรัสเพื่อให้บริการ, ด้านสาธารณสุข ปรับระบบรายงานโรคและกักกันผู้สัมผัส, ด้านการสื่อสารสังคม สร้างความรู้ความเข้าใจประโยชน์ของวัคซีน การจัดการเมื่อมีผู้ติดเชื้อ ในครอบครัว มาตรการบุคคลและองค์กร

ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารจัดการหลังการระบาดใหญ่ (Post Pandemic) มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และการบริหารยา วัคซีน เวชภัณฑ์ ซึ่งได้สื่อสารให้โรงพยาบาลในสังกัดต่างๆ เตรียมการจัดหายาต้านไวรัสเอง ซึ่งจะเริ่มดำเนินการได้ในเร็วๆ นี้ โดยใช้กระบวนการเบิกค่ารักษาพยาบาลจากกองทุนเช่นเดียวกับโรคติดเชื้ออื่น ๆ เพื่อให้ประชาชนยังสามารถเข้ารับการรักษาได้ตามสิทธิ์

2) เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยกเลิกชื่อและอาการสำคัญของโรคติดต่ออันตราย พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อและอาการสำคัญของโรคติดต่อ ที่ต้องเฝ้าระวัง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยได้พิจารณาปรับโรคโควิด 19 จากโรคติดต่ออันตรายเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง

3) รับทราบสถานการณ์ และการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด 19 ซึ่งพบแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น และประชาชนเริ่มมีความรู้ ความเข้าใจในการดูแลรักษา อย่างไรก็ตามกระทรวงสาธารณสุขยังคงเน้นให้ทุกจังหวัดเตรียมพร้อมเรื่องเตียง การใช้ยาอย่างเหมาะสม และการฉีดวัคซีน รวมถึงให้โรงพยาบาลพิจารณาการใช้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (Long Acting Antibody : LAAB) ซึ่งกระจายไปยังจังหวัดต่าง ๆ และกรุงเทพมหานครแล้ว

และ 4) โรคฝีดาษวานร ปัจจุบันพบผู้ป่วยยืนยันในประเทศไทยแล้ว 4 ราย ซึ่งประเทศไทยได้มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ทั้งที่สนามบิน สถานพยาบาล ชุมชนแหล่ง ท่องเที่ยว โดยได้มีการสั่งวัคซีนป้องกันฝีดาษมาใช้สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ผู้ปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ แบบ pre-exposure prophylaxis และ ผู้มีความเสี่ยงสูงสัมผัสผู้ป่วยแบบ post-exposure prophylaxis

“ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตประจำวันโดยยึดหลัก “ประชาชนอยู่ร่วมกับโควิดอย่างปลอดภัย” เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด 19 จะคล้ายคลึงกับไข้หวัดใหญ่ พบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปีอาจมีการระบาดในบางช่วงเวลา ซึ่งการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตมักเกิดกับกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีนและกลุ่มเสี่ยง 608 โดยให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตัวเอง ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น กินอาหารร้อนปรุงสุก ซึ่งสามารถป้องกันได้ทั้งโรคโควิด 19 และฝีดาษวานร

นอกจากนี้ให้หลีกเลี่ยงสัมผัสใกล้ชิดผู้ที่มีอาการเข้าข่ายของโรคฝีดาษวานร โดยเฉพาะผู้ที่มีผื่น ตุ่ม หนอง ตามผิวหนัง หรือคนแปลกหน้า งดการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่รู้จักเพราะมีความเสี่ยง หากสงสัยว่ามีอาการป่วยเข้าข่าย สามารถติดต่อสถานพยาบาลใกล้บ้านเพื่อรับการตรวจหาเชื้อได้ทันที” นายอนุทินกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า การลดระดับโควิด-19 เหลือเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง จะกระทบต่อประชาชนหรือไม่ รวมถึงวัคซีนจะฟรีหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ใช่ ตามนิยาม แต่ไม่ใช่โรคประจำถิ่น แต่ด้วยโรคติดต่ออันตรายที่มีขั้นตอน ใช้ทรัพยากรที่ค่อนข้างมาก ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้นระดับหนึ่ง ผู้ติดเชื้ออาการไม่รุนแรง จำนวนการใช้เครื่องมือในสถานพยาบาลอยู่ในระดับควบคุมได้ ดังนั้น กรมควบคุมโรคเห็นว่า สมควรลดระดับการเฝ้าระวัง แต่ไม่ได้แปลว่า ไม่ดู ไม่สนใจ โดยที่ประชุมเห็นชอบให้ดำเนินการได้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้

“ไม่ส่งผลกระทบใดๆ กับประชาชน ยังเข้าถึงระบบสาธารณสุข ได้รับการรักษา ส่วนวัคซีนเข็มกระตุ้น (บูสเตอร์ โดส) ก็ยังฟรีอยู่ แต่ก็จะพิจารณาเป็นปีต่อปี ในที่ประชุมก็ได้คุยกันเรื่องอนาคตที่จะมีวัคซีนโควิด-19 รวมกับโรคอื่นได้ น่าจะมียาที่ออกฤทธิ์รวดเร็วได้ มีเทคโนโลยีที่ดีขึ้น เราก็จะต้องหลุดพ้นจากบ่วงโควิด เดินหน้าในมิติอื่นได้ด้วยความมั่นคง” นายอนุทิน กล่าว

เมื่อถามว่า การเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง สามารถถอดหน้ากากอนามัยได้หรือไม่ รวมถึงจะมีการผ่อนมาตรการใดเพิ่ม นายอนุทิน กล่าวว่า ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ผ่อนคลายแล้ว ส่วนการสวมหน้ากาก ตนก็ได้ถามในที่ประชุมไปแล้ว แต่ก็ขอให้กรมควบคุมโรคพิจารณาในรายละเอียดก่อน