ฐาปน ฉายวิชั่น 2025 ธุรกิจมั่นคงยั่งยืน ชวนบิ๊กธุรกิจข้ามค่ายร่วมมือนอกอุตสาหกรรม

by ประกายดาว แบ่งสันเทียะ บรรณาธิการESGuniverse, 10 ตุลาคม 2566

ไทยเบฟ เผยเส้นทางPassion 2025 ผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนอย่างมั่นคงและยั่งยืน ผ่า 3 คาถาพาธุรกิจฝ่าวิกฤติ วิ่ง ซ่อน สู้ คือ ตื่นรู้ มีสติ และปรับตัว สร้างโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ชวนทุกองค์กรก้าวข้ามคอมฟอร์ทโซน ร่วมมือข้ามอุตสาหกรรม จะค้นพบโมเดลธุรกิจ คลื่นลูกใหม่ไร้ขีดจำกัด

ไทยเบฟ เริ่มปรับโครงสร้างธุรกิจ (Business Transformation) ตั้งแต่ปี 2564 ตามวิสัยทัศน์ของ PASSION 2025 (พ.ศ. ปี 2568) มุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนอย่างมั่นคงและยั่งยืน “ก้าว-แกร่ง-กว่าเดิม” (Stronger Than Ever) สามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจ และเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน ตามแนวทางการพัฒนาความยั่งยืน เป็นผู้แบ่งปันคุณค่าจากการเติบโตอย่างสร้างสรรค์ (Creating and Sharing the Value of Growth) ให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

สอดคล้องกับ เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน 17 ประการขององค์การสหประชาชาติ (UN SDGs) ได้เข้าร่วมข้อตกลงเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (TCFD) สะท้อนถึงความมุ่งมั่น บทบาทผู้นำที่จะพัฒนาธุรกิจให้เป็นต้นแบบแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) ตามมาตรฐานสากลในด้านสิ่งแวดล้อมและการกำกับดูแล พร้อมกับการสนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนาระดับชาติ Bio-Circular-Green (BCG) ของรัฐบาลไทย บริหารจัดการสร้างความสมดุลให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จะนำไปสู่โอกาสการเติบโตที่ไร้ขีดจํากัด ให้แก่ธุรกิจและสังคม

ภายในงาน มหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนกับงาน Sustainability Expo 2023 (SX2023) นำเสนอมุมมองจากผู้บริหารสูงสุดขององค์กรขนาดใหญ่ ในการนำแนวทางด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนมาปรับใช้ในการบริหารธุรกิจ รวมถึงแบ่งปันประสบการณ์จากการดำเนินงานด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของผู้นำองค์กรภาคธุรกิจอื่นๆ ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนไปด้วยกัน กับหัวข้อ "TSCN CEO PANEL: ปรับตัวอย่างไร ให้อยู่รอดอย่างยั่งยืน"

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ และประธานการจัดงาน มหกรรมความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนกับงาน Sustainability Expo 2023 (SX2023) กล่าวในงานว่า หลังจากไทยเบฟได้มีการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนายั่งยืน เกิดสัญญาณที่ดี ที่มีหลายหน่วยงาน ทุกภาคส่วน รวมถึงคนรุ่นใหม่และเยาวชน มีความตื่นตัวให้ความสนใจถึง 60% ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีเพราะกลุ่มคนเหล่านี้จะเป็นตัวแทน ทำหน้าที่จิตอาสา เข้ามามีส่วนร่วมในการทำประโยชน์เพื่อสังคม เป็นพลังในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้จริง ดังนั้นองค์กรขนาดใหญ่มีหน้าที่ในการสนับสนุน ร่วมเป็นฟันเฟืองสร้างสังคมไทยให้มีความแข็งแกร่งในทุกระดับต่อไปอย่างต่อเนื่อง


วิ่ง ซ่อน สู้
วิชาเอาตัวรอด ฝ่าวิกฤติฉบับไทยเบฟ

สำหรับในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา ถือเป็นเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่ยากเกินคาดเดาสถานการณ์ ไทยเบฟได้ถอดบทเรียนการปรับตัวของธุรกิจด้วย 3 กลยุทธ์ในการเอาตัวรอด คือ “วิ่ง ซ่อน และสู้”

วิ่ง ที่ต้องปรับตัว ไม่หยุดพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่ง ในยุคดิสรัปท์ ต้องมีการตื่นตัว พร้อมกับมีสติ ไม่ใช่เพียงวิ่งโดยไร้ทิศทางจะไปทางไหนก็ได้ แต่เป็นการวิ่งแบบเข้าใจในเหตุการณ์ และเมกะเทรนด์ที่โลกกำลังขับเคลื่อนจะไปสู่ทิศทางไหน

ซ่อน สะท้อนถึง การหยุดคิด ด้วยความสติ มีความคิดที่ดี ที่ริเิริ่มมองความยั่งยืนได้อย่างเข้าใจ หากมีความตระหนักรู้ด้านความยั่งยืนจะนำไปสู่การวางแผนในระยะยาวได้

สู้ คือการปรับตัว ในทิศทางที่จะต้องแสวงหาความร่วมมือ เพราะหากสู้เพียงลำพังไม่สามารถอยู่รอดได้ จึงต้องเชื่อมโยงกันตลอดห่วงโซ่อุปทาน (ซัพพลายเชน)
ดังนั้น จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ต้องเกิดจากการตื่นรู้ มีสติ และปรับตัว สร้างโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลา

 

ความยั่งยืน คือโอกาสไม่รู้จบของSMEs
ห่วงโซ่ ข้อต่อเสริมแกร่งซัพพลายเชนรายใหญ่

ในยุคของความยั่งยืน ถือเป็นโอกาสของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน (ซัพพลายเชน) แห่งความยั่งยืนเติบโตไปพร้อมกันกับรายใหญ่ เมื่อเข้าใจและปรับตัว เข้าสู่ทิศทางธุรกิจยั่งยืนก็จะเกิดประโยชน์ต่อธุรกิจ เชื่อมโยงกับรายใหญ่ เชื่อมโยงกับระดับท้องถิ่น ทุกฝ่ายล้วนเป็นพันธมิตรร่วมกันได้ นอกจากอยู่รอดแล้วยังมีความยั่งยืนไปพร้อมกัน

สิ่งสำคัญคือการมองข้ามอุตสหกรรม เมื่อเข้าใจภาพกว้างของทิศทางธุรกิจทั่ว่โลก จะมองทุกฝ่ายเป็นผู้มีส่วนร่วมในการ สร้างการเติบโตไปด้วยกัน(Inclusive) ดังนั้น ผู้บริหารองค์กรขนาดใหญ่ในทุกระดับต้องมาพูดคุยกัน ลดช่องว่าง มองเห็นโอกาสแห่งความร่วมมือที่จะพัฒนาแก้ไขปัญหาร่วมกัน จะเห็นโอกาสทางธุรกิจ ที่จะเกิดผลกระทบในเชิงบวกกับทุกภาคส่วนมากขึ้น

“ผู้บริหารในองค์กรใหญ่ได้มาร่วมแลกเปลี่ยนพูดคุยกันมากขึ้น ทำให้ลดช่องว่าง เข้าใจกันมากขึ้น นำไปสู่การตัดสินใจการพัฒนาธุรกิจที่จะช่วยพัฒนาประเทศควบคู่กับธุรกิจ มีการเรียนรู้ที่จะตัดสินใจร่วมกัน เป็นการก้าวขาออกจากComfort Zone ที่อาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินธุรกิจขนาดใหญ่ ความร่วมมือนำไปสู่ความยั่งยืนทั้งองคาพยพ”

 

ชวนจับมือข้ามค่าย ไร้ข้อจำกัด
บิ๊กหัวขบวนอุตฯ ข้ามคอมฟอร์ทโซน

มิติ ความยั่งยืนในภาคธุรกิจสำคัญสำหรับทุกคน แม้จะยังมีความท้าทายด้านต้นทุนทางการเงินของทั้งโโลก ที่ทุกภาคส่วนเริ่มมีความตื่นตัวมากขึ้นในหลากหลายการประชุมผ่านหลากหลายมิติ ที่จะช่วยทำให้ก้าวข้ามข้อจำกัด และคิดข้ามธุรกิจที่ขยายวงกว้างไปสู่ การพัฒนาคุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นธุรกิจจะไม่จำกัดความร่วมมือ ไม่เพียงแค่สร้างผลกระทบในเชิงบวกแค่ในอุตสาหกรรมตัวเอง แต่จะเกิดปรากฎการณ์สร้างความร่วมมือกันทำงานอย่างไร้ขีดจำกัด ข้ามกลุ่มอุตสาหกรรมมากขึ้น (Cross Industry Consolidation)

ภาคธุรกิจหรือ อุตสาหกรรม จะไม่แข่งขันกัน แต่จะเน้นความร่วมมือ เพราะตัวจริงที่แข่งขันไม่ใช่ภาคธุรกิจ แต่คือ ความเข้าใจผู้บริโภค เข้าใจประชากรทุกคน จึงต้องไม่หยุดพัฒนา เรียนรู้ตอบโจทย์ความต้องการในการดำรงชีวิตของผู้บริโภค

“ธุรกิจจะไม่จำกัดหากเข้าใจเป้าหมายที่แท้จริง คือการตองสนองความต้องการและพฤติกรรมผู้บริโภค ที่ภาคธุรกิจจะต้องเรียนรู้ จึงจะมีโอกาสสร้างขีดความสามารถ จะทำให้เกิดการข้ามคอมฟอร์ทโซนธุรกิจ โดยการร่วมมือข้ามอุตสาหกรรม จะช่วยให้ค้นพบโอกาสใหม่ และยังมีแนวร่วมรวมพลังสร้างคลื่นลูกใหม่ เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิสรัป มีโอกาสพลิกโลกและธุรกิจได้ จากความร่วมมือที่ไม่จำกัดเพียงแค่ ภาคเอกชน แต่รวมถึงภาครัฐและภาคประชาสังคม ”

สำหรับกลไกสำคัญแห่งความร่วมมือสู่ธุรกิจยั่งยืน ที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนได้รวดเร็ว คือการปรับตัวนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์(AI) ร่วมมือกับคนรุ่นใหม่ ที่จะเป็นหัวหอกในการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงในยุคต่อไป เพียงแค่เปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมลงมือทำ จะนำไปสู่การสร้างกองทัพผู้ร่วมงานในอนาคต

“สิ่งที่ยากที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงคือตัวเราเอง และการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร ถือเป็นความท้าทาย ต้องใช้ความเอาใจใส่ พัฒนาจากจุดเล็กๆ มีความอดทน สร้างโอกาสร่วมมือ จึงขยายไปสู่ระดับสังคม และประเทศ”