เปิดกลยุทธ์สร้าง’คน’ เคลื่อนธุรกิจยุคโลกเดือด ผสานเทคโนโลยีคู่ภูมิปัญญายั่งยืนรับยุค5.0

by ESGuniverse, 1 ธันวาคม 2566

ยุคโลกเดือดมาตักเตือนวิธีคิด ธุรกิจ มุ่งหวังผลกำไรเติบโตต่อไปไมไ่ด้ ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมเสื่อม สังคมเหลื่อมล้ำ แนวร่วมกลับสูตรธุรกิจ จึงปรับเปลี่ยนวิธีคิดเพื่อโลก หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่าน อยู่ที่”คน” ไม่ใช่แค่ทรัพยากร แต่คือ “หุ้นส่วน”ขับเคลื่อนองค์กรสู่ทิศทางใหม่ ผู้นำจึงต้องปลูกDNA วัฒนธรรมความยั่งยืน แนวร่วม”ฉันทามติ” ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เลือกใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผสานกับเทคโนโลยี จึงสร้างธุรกิจที่คิดเพื่อชีวิต ตอบโจทย์วิกฤติฟื้นฟูสมดุลธรรมชาติ

 

 

สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UNGCNT) ร่วมกับสหประชาชาติ จัดงาน ‘GCNT Forum 2023 : พันธมิตรเพื่อพัฒนาคนยุค 5.0 สู่สังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน เชิญผู้นำธุรกิจ สมาชิก UNGCNT และพันธมิตรในภาคส่วนต่างๆ เพื่อร่วมมือกันขับเคลื่อนศักยภาพทุนมนุษย์ยุค 5.0 โดยมี 5 เวทีเสวนา 5 หัวข้อสำคัญ กับการขับเคลื่อนคนสู่ความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงโลกยุคใหม่อย่างยั่งยืน ได้แก่
     1. การเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืนในบริบทประเทศไทย โดยเฉพาะในมิติของคน
     2. ปั้นคนให้ก้าวไปข้างหน้าและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
     3. เปลี่ยนผ่านคนอย่างเป็นธรรมสู่องค์กรสีเขียว
     4. ปลุกศักยภาพคนรับการเปลี่ยนแปลงตลอดห่วงโซ่อุปทาน
     5. ยกระดับคน สร้างพลังสังคม

 

 

 

แก่นการสร้างองค์กรธุรกิจยั่งยืน
ฝัง DNA คน ปลูกวัฒนธรรมทีมทำงาน

เวทีแรก การเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืนในบริบทประเทศไทย โดยเฉพาะในมิติของคน การแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์จากผู้นำองค์กรสร้างความเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืน ให้ต้องใช้พลังจาก”คน” เป็นผู้ขับเคลื่อน ความเห็นจาก ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)สิ่งสำคัญ ผู้บริหารบี.กริม ชี้ว่าเห็นชัดคือการมอง”คน” ให้เป็นหุ้นส่วนของธุรกิจ ไม่ใช่มองเป็นทรัพยากร

ทางด้าน ตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เปิดมุมมองการกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต้องมาจากการสร้างแรงบันดาลใจ และบ่มเพาะพนักงานและพาร์ทเนอร์อย่างสม่ำเสมอ พร้อมกันกับนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนความยั่งยืน เพื่อให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน

“ระบบเศรษฐกิจนับจากวันนี้เป็นต้นไป จะมีเม็ดเงินมหาศาลที่ถูกลงทุนในเทคโนโลยีนวัตกรรมต่างๆ เพื่อนำพาโลกของเราไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ และนั่นคือโอาสที่สำคัญสำหรับทุกคน ทุกภาคส่วน”

ขณะที่ จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธาน เจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด มองภาพเดียวกันว่าผู้บริหารดับบลิวเอชเอ เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืนต้องเริ่มที่ “ผู้นำ” การทำงานร่วมกันทั้งองค์กร ต้องเกิดจาการสร้างทีมที่มีสายเลือด DNA เดียวกัน จึงเกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กร ที่ทำให้ต้องเข้าใจคนและต้องการจากภายใน เห็นตรงกันเป็น “ฉันทามติ”

 

 

 

ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ผสานเทคโนโลยีคู่กับภูมิปัญญาท้องถิ่น

เวทีต่อมาระบุถึงการพัฒนาคน โดยเริ่มจาก ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด แลกเปลี่ยน มุมมองในการนำพาองค์กรไปข้างหน้าจะต้องปั้นคน ก้าวไปพร้อมกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทำให้เกิดเป็นรูปธรรม มีความต่อเนื่อง และวัดผลได้ เมื่อเริ่มจากภายในองค์กร ให้ความสำคัญกับพนักงาน จะทำหน้าที่ส่งต่อการพัฒนาขยายผลไปภายนอกองค์กร

ส่วนหัวเว่ย ส่งเสริมให้เทคโนโลยีเข้าถึงและเป็นพื้นฐานของชีวิตผู้คน โดยเฉพาะชุมชนและผู้สูงอายุ ด้วยการทำวิจัยและพัฒนา ส่งเสริมความรู้ด้านดิจิทัล เพื่อให้คนปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีได้

“แม้เราจะใช้เทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในการผลิตไฟฟ้า แต่ในชุมชน เราเลือกจะทำงานร่วมกับชุมชน สนับสนุนภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าจะเป็นงานฝีมือ การทอผ้า และต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด” คุณตวงพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานการสื่อสารและการบริหารความยั่งยืนองค์กร บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าว

ทางด้าน ตวงพร บุณยะสาระนันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานการสื่อสารและการบริหารความยั่งยืนองค์กร บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) โดยกล่าวว่า ซีเคพาวเวอร์ แบ่งปันประสบการณ์ ในการสร้างความไว้วางใจและสร้างคุณค่าร่วมกับชุมชน โดยส่งเสริมทั้งด้าน Hardware และ Software เพื่อพัฒนาทักษะและนวัตกรรมที่ต่อยอดจาก “ภูมิปัญญาท้องถิ่น” สร้างรายได้เพิ่มให้กับชุมชน

ขณะที่ ชู ลิม รองประธานบริหาร ฝ่ายซัพพลายเชน กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย และ มาเลเซีย ก็ให้ความสำคัญกับพนักงาน โดยเริ่มจากสร้างทัศนคติให้มองความยั่งยืนเป็นเรื่องเดียวกับการทํางาน ไม่ใช่เรื่องที่แยกออกจากกัน นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินงานด้านความยั่งยืนกับลูกค้าในแต่ละท้องถิ่น ผ่านสินค้ากว่า 400 แบรนด์ทั่วโลก

 

 

 จากธุรกิจยั่งยืน เปลี่ยนผ่านสังคมสีเขียว

ห่วงโซ่สีเขียวสู่การจ้างงานสีเขียว

ดร. เนติธร ประดิษฐ์สาร ผู้ช่วยบริหารประธานคณะผู้บริหาร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักความร่วมมือ ระหว่างประเทศด้านความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จํากัด ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรสีเขียว ต้องเริ่มด้วยการวางยุทธศาสตร์ กำหนดทิศทาง และตัวชี้วัด จากภายในองค์กร ก่อนจะขยายไปยังภายนอก ตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะกำหนดมุมมองการทำงานร่วมกับ AI จนถึงการจัดทำรายงานที่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจนและโปร่งใส่

คุณเควิน ตัน (Kelvin Tan) Managing Director and Head of Sustainable Finance & Investment ASEAN ธนาคารเอชเอสบีซี กล่าวว่า สถาบันการเงินดูความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และโอกาสในการเปลี่ยนผ่านของลูกค้า โดยเฉพาะ SMEs แต่ขณะเดียวกันก็ต้องฝึกบุคลากรขององค์กรด้วย เพื่อให้เห็นโอกาสงานใหม่ๆ เมื่อก้าวสู่สังคมสีเขียว

ณัฐวุฒิ อินทรส ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี แลกเปลี่ยนมุมมองว่า การเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zeroจะต้องขับเคลื่อนการเติบโตสีเขียวจากภายในองค์กรก่อน จากนั้นจึงขยายการขับเคลื่อนออกไปยังส่วนอื่นๆ ตามแผน roadmap คือ ESG 4Plus เป็นเป้าหมายร่วมกัน

“การเปลี่ยนผ่านใดๆ ต้องมีความสมดุล เราควรวาง Roadmap บูรณาการแผนความยั่งยืนและแผนธุรกิจเป็นแผนเดียวกัน บนพื้นฐานของความเชื่อมั่น โปร่งใส และตรวจสอบได้” คุณณัฐวุฒิ ผู้อำนวยการสำนักงาน พัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจีกล่าว

ด้าน อีริค โรเดอร์ (Eric Roeder) Technical Specialist on Green Jobs, Climate Action and Resilience through Just Transition องค์การแรงงาน ระหว่างประเทศ (ILO) สำนักงานประจำภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก ได้แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านคนอย่างเป็นธรรม โดย ILO ให้นิยาม “งานสีเขียว ว่าเป็นงานที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งแวดล้อมและการเสริมสร้างทักษะ สีเขียวให้ทุกคนในสังคม

  

 

ปลุกพลัง ห่วงโซ่คุณค่า
ร่วมสร้างผลผลิตยั่งยืน

ทางด้าน กอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุดสายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า การแบ่งปันว่าการพัฒนาศักยภาพคน เริ่มต้นจากภายในองค์กรเอง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน จึงสามารถขยายไปภายนอก โดยเฉพาะเกษตรกร ซึ่งถือเป็นพันธมิตร(พาร์ทเนอร์)ของซีพีเอฟ ต้องมีการเสริมองค์ความรู้และทักษะต่าง ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้เติบโตไปด้วยกัน และร่วมกันสร้างประโยชน์จากความยั่งยืนพร้อมกันกับช่วยลดโลกร้อนไปด้วยกัน

“เพื่อเคลื่อนไปในทิศทางนี้ร่วมกัน ซีพีเอฟเริ่มต้นจากคนภายในบริษัท เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนในทุก touchpoint มีความเข้าใจเดียวกัน แล้วจึงขยายไปภายนอกองค์กร โดยเฉพาะเกษตรกร ซึ่งถือเป็นพาร์ทเนอร์ของซีพีเอฟ จึงต้องสร้างความเข้าใจ ถ้าเกษตรกรหยุดเผาและทำตามระบบของซีพีเอฟ จะได้ราคาขายผลผลิตที่สูงกว่า หรือการตรวจสอบการเผาด้วยเทคโนโลยี และระบบการตรวจสอบย้อนกลับ เพื่อให้มั่นใจผลิตผลทางการเกษตรที่รับซื้อจากเกษตรกร ไม่ได้มาจากการบุกรุกป่าหรือการทำลายสิ่งแวดล้อม”

ดร. วิชัย ณรงค์วณิชย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการเปลี่ยนผ่านต้องมีการสื่อสารสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับลูกค้า และพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เข้าถึงง่าย เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ด้วยกัน โดยได้เตรียมทุน 200,000 ล้านบาท สําหรับธุรกิจที่มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างชัดเจน รวมทั้ง SMEs และ Startup ที่ต้องการลงทุนใน green technology หรือ green product

คุณสุนทร ยงค์วิบูลศิริ ESG and Sustainability Director บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) ได้พูดคุยกันถึงการปลุกศักยภาพคนใน ห่วงโซ่อุปทาน จัดทำวิธีการให้ซัพพลายเชนในเครือข่าย มีระบบ Supplier Code of Conduct เพื่อกำกับดูแลและพัฒนาซัพพลายเออร์ในห่วงโซ่อุปทาน ให้อยู่บนมาตรฐาน ESG ร่วมกัน ควบคู่ไปกับการจัด Supplier Day อย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยเติมองค์ความรู้ เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และยังมุ่งเน้นด้านความปลอดภัยด้วย

แดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็น อาร์ อินสแตนท์โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) มีวิธีการพัฒนานวัตกรรมอาหาร ตอบโจทย์ Net Zero ทั้งในบทบาทที่เป็นซัพพลายเออร์หรือปลายน้ำของคู่ค้าที่มีเป้าหมายนี้ และในบทบาทที่ต้องดูแลซัพพลายเออร์ต้นน้ำ คือ ภาคการเกษตร โดยมีโครงการ decarbonize ชวนเกษตรกรลดการเผา เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ด้วยการให้ความรู้และใช้เทคโนโลยีที่เข้าถึงง่ายให้เกษตรกรมีส่วนร่วมดำเนินการ


“ซัพพลายเออร์ปลายน้ำของ NRF คือซูเปอร์มาร์เก็ต เป็นคู่ค้าที่มีเป้าหมาย Net Zero ขณะเดียวกัน เกษตรกร ก็เป็นซัพพลายเออร์ต้นน้ำของ NRF เราจึงต้องส่งเสริมให้เกษตรกรมีส่วนร่วมกับเป้าหมายนี้ไปด้วยกัน”

 

 

ยกระดับคน ปลูกปัญญาสู่พลังสังคม

สร้างไมด์เซ็ทเจ้าของกิจการสูุ่ชุมชนพึ่งพาตนเอง

ดร.เนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าสายงานกลยุทธ์องค์กรและด้านการศึกษา บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น และกรรมการและเลขานุการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED Foundation) กล่าวว่าถึงวิธีการสร้างรากฐานของความยั่งยืนคือการศึกษา เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาคน จึงริเริ่ม ‘โครงการทรูปลูกปัญญา’ โดยพัฒนาแพลตฟอร์มคลังความรู้คู่คุณธรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เปิดโอกาสให้เยาวชนเข้าถึงองค์ความรู้ได้จากทั่วโลกและเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา และต่อยอดสู่ความร่วมมือในการดึงศักยภาพของ 3 ภาคส่วน รัฐ-ประชาสังคม-เอกชน เป็น Public-Private- Partnership (PPP) จัดตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา

ปัจจุบัน เครือข่าย คอนเน็กซ์อีดี ซึ่งตอนนี้มี 52 องค์กรเอกชนเข้ามาร่วมมือกันยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยให้ทัดเทียมสากลและเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเรามีเป้าหมายที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และพัฒนาคุณภาพเยาวชนของเราให้เป็นเด็กดีมีความสามารถ จนปัจจุบันเรามีหลากหลายโครงการที่เกิดเป็น domino effect ที่สามารถส่งต่อให้ภาครัฐนำไปขยายผลให้กับโรงเรียนและชุมชนต่อยอดพัฒนาให้เกิดความยั่งยืน

“รากฐานของความยั่งยืนคือการศึกษา และหัวใจสำคัญคือการพัฒนาคน ทรู ริเริ่มโครงการทรูปลูกปัญญา และร่วมมือกับ 3 ภาคส่วน ขับเคลื่อนมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี พัฒนาการศึกษา สร้างตัวอย่างโมเดลองค์ความรู้ที่ส่งต่อให้ภาครัฐ และสร้าง domino effect ให้เกิดขึ้น” ดร.เนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าสายงานกลยุทธ์องค์กรและด้านการศึกษา บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น และกรรมการและเลขานุการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED Foundation)

มีชัย วีระไวทยะ นายกสมาคม พัฒนาประชากรและชุมชน ให้ความเห็นว่า การศึกษาปัจจุบันดึงคนออกจากชุมชน จึงต้องนำวิทยาการความรู้และเทคโนโลยีเข้าสู่หมู่บ้านให้มากที่สุด โดยสมาคมฯ ได้พัฒนาโรงเรียนที่สร้างนักเปลี่ยนแปลง เริ่มจากโรงเรียนไปสู่ชุมชน จากชุมชนไปสู่หมู่บ้าน ปลูกฝังให้นักเรียนมีความเป็นผู้ประกอบการ (Entreprenuer) และมีจิตสำนึกที่จะเห็นใจผู้อื่น (Empathy mindset) โดยให้เรียนรู้การทำธุรกิจและพัฒนาโครงการเพื่อสังคมเพื่อขอทุนสนับสนุน รวมทั้งดึงภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วม จนได้รับการยกย่องจากนานาชาติว่าเป็นโรงเรียนที่มีนวัตกรรมมากที่สุด

รัชสุรางค์ วงศ์กระแสมงคล ตัวแทนเยาวชน ได้แบ่งปันประสบการณ์ในการทำงานเพื่อยกระดับคน สร้างพลังสังคม เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง ควรมั่งเน้นในการให้ความสำคัญกับสิทธิของเด็ก เพื่อให้เติบโตในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย มีอากาศและน้ำที่สะอาด รวมทั้งได้รับการส่งเสริมด้านเทคโนโลยี ให้รู้เท่าทันและใช้งานเป็น ตลอดจนเพิ่มการจ้างผู้หญิงให้มากขึ้น ให้มีส่วนร่วมตัดสินใจในการให้ความรู้และแก้ไขปัญหาของเด็ก โดยต้องการให้เกิดความร่วมมือตั้งแต่ระดับครอบรัว โรงเรียน ไปสู่ระดับระหว่างองค์กรและระหว่างประเทศ ที่จะให้ความสนใจสิทธิเด็กเพื่อสร้างสังคมที่มีความสุขและยั่งยืนที่แท้จริง

“ประเทศไทยควรใช้ประโยชน์จากโรงเรียนและครู ซึ่งเป็นระบบที่มีอยู่แล้วของภาคการศึกษา โดยปลูกฝังให้เด็กมี Entreprenuer and Empathy mindset และได้เรียนรู้การทำธุรกิจ และการ Sharing and Giving”