Rethink นักลงทุนทั่วโลก จากดูไบ- ดาวอส- ไทยแลนด์ ทำเงินจากฟื้นฟูทรัพยากร

by ESGuniverse, 10 กุมภาพันธ์ 2567

จาก COP28 ดูไบ สู่WEF ดาวอส ส่งต่อถึงไทย ระดมสรรพกำลังขับเคลื่อนทุนคาดเม็ดเงินกว่า1.2พันล้านล้านบาท เปลี่ยนผ่านสู่ลงทุนเศรษฐกิจยั่งยืน ปรับวิธีคิดมองทรัพยากรธรรมชาติคือสินทรัพย์สร้างความมั่งคั่งกับนักลงทุน



จากการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติครั้งที่ 28 หรือ COP28 ตลอดจนการประชุม World Economic Forum 2024 หรือ WEF ที่เพิ่งเกิดขึ้น ตอกย้ำให้เห็นว่าทั่วโลกให้ความสำคัญกับผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และหารือแนวทางในการจัดการปัญหานี้

จากรายงานความคืบหน้าในการทบทวนสถานการณ์และการดำเนินงานระดับโลก (Global Stocktake Synthesis Report) ของสหประชาติ ที่เผยแพร่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นความจริงอันน่าตกใจว่า นโยบายการบริหารของภาครัฐทั่วโลกในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมยังไม่เป็นผลดีนัก ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นถึง 2.6 องศาเซลเซียส

แนวโน้มทั่วโลกยังคงปลดปล่อยคาร์บอนสูงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ดังนั้นเป้าหมายของการควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ตามข้อตกลงปารีสนั้น..แทบจะเป็นไปไม่ได้

แรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อหยุดยั้งโลกเดือด ต้องเริ่มต้นจากภาครัฐกำหนดนโยบาย กระตุ้นให้เอกชนปรับตัวไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่

การเปลี่ยนโลกใหม่เป็นการปรับโครงสร้าง ฟื้นฟูโลกใหม่ ต้องสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ สร้างตลาดใหม่ให้ผลตอบแทนที่ดีควบคู่ไปกับสร้างโลกที่ยั่งยืน ต้องใช้เม็ดเงินลงทุนมหาศาล ควบคู่กับองค์ความรู้ เทคโนโลยีนำไปสู่การสร้างสรรค์โมเดลธุรกิจแห่งอนาคตตอบโจทย์ความต้องการโลกเช่น การลงทุนในทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานไฟฟ้า

นั่นทำให้ นักลงทุนต้องปรับวิธีการวางแผนการลงทุน เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านโลกธุรกิจใหม่ รูปแบบเดิมที่มีผลกำไรในอดีต ไม่อาจเคยชิน พึงพอใจติดกับรูปแบบธุรกิจเดิม หรือ อยู่ในคอมฟอร์ทโซน ได้อีกต่อไป

การนำเสนอปรับเปลี่ยนกระบวนการคิด สร้างสรรค์ธุรกิจกับโลกใบใหม่ที่ยั่งยืนจึงเกิดขึ้น

ทำความรู้จักแนวคิด Rethink Sustainability


“Rethink Sustainability” คือแนวคิดของ ลอมบาร์ด โอเดียร์ (Lombard Odierผ) จาก ไพรเวทแบงก์ จากสวิสเซอร์แลนด์ ธนาคารที่มีชื่อเสียงระดับโลกจาก ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2339 ผ่านวิกฤตทางการเงินกว่า 40 ครั้ง ปัจจุบันมีทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (Asset Under Management: AUM) มูลค่ารวมกว่า 345,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

สิ่งที่น่าสนใจจาก ลอมบาร์ด โอเดียร์ ได้มุ่งเน้นวิธีการวางกลยุทธ์สร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนจากการการลงทุน โดยใช้นวัตกรรมขับเคลื่อนควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยผู้เชี่ยวชาญที่มีการประเมินความเสี่ยงจากสภาวะเศรษฐกิจ วิกฤตทางการเงิน ตลอดจนภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น

นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่วิเคราะห์ถึงปัจจัยรอบด้านอย่างครบถ้วน เพื่อมุ่งออกแบบแผนการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนควบคู่กับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และโลกในอนาคต

ลอมบาร์ด โอเดียร์ เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเพื่อมุ่งไปสู่ความยั่งยืนเป็นแนวคิดที่จะส่งผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรมในอนาคต โดยจะเปลี่ยนแปลงไปสู่การสร้างเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ เรียกว่า “ CLIC® Economy”

     -มีการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน (Circular)
     -ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า (Lean)
     -ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ (Inclusive)
     -เป็นธุรกิจที่ช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่สะอาด (Clean)

แนวคิดจะช่วยสร้างโอกาสในการวางแผนการลงทุน พร้อมลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในยุคที่มีการเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกที่ยั่งยืน รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันธุรกิจ

ความเสี่ยงและความท้าทายที่เกิดขึ้นระหว่างเส้นทางการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Net Zero เพราะเป็นการเปลี่ยนจากรระบบที่ทรัพยากรธรรมชาติถูกใช้งานอย่างสิ้นเปลืองจนเกินขอบเขต

จึงถึงเวลา!! ทุกภาคส่วนทั้งภาคธุรกิจและประชาชนจะต้องปรับตัวอย่างจริงจัง เพื่อให้แต่ละประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายข้อตกลงปารีสในการลดภาวะโลกร้อน เพื่อลดอุณหภูมิโลกให้ไม่เพิ่มเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส รวมถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปีพ.ศ. 2593


คำตอบจึงอยู่ที่ “CLIC® Economy”

งานวิจัยของลอมบาร์ด โอเดียร์ ค้นพบการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต ตั้งแต่ รูปแบบการใช้ที่ดิน ระบบพลังงาน รวมไปถึงภาคการผลิต จะมีการสร้างแนวทางใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ปัจจัยสำคัญในกระตุ้นให้เศรษฐกิจที่สร้างมูลค่าคือการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ คือ การกำหนดราคาคาร์บอน หัวใจในการจัดสรรเงินทุน มีส่วนช่วยในการปรับแผนการบริหารหาแนวทางจัดการคาร์บอนสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emissions)

 

เปลี่ยนผ่านโลกเศรษฐกิจใหม่
ปลุกเงินลงทุน1.2พันล้านล้านบาท

ปัจจุบันทั่วโลกต่างปรับตัวตามกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อหาทางลดอุณหภูมิโลก
โดยตั้งเป้าหมายในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส ทางภาครัฐบาลทั่วโลกจึงออกแบบนโยบายในการขับเคลื่อนและกำกับดูแล

การรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น การออกนโยบาย EU Green Deal, การออกกฎหมายลดเงินเฟ้อของประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงนโยบายการพัฒนาการใช้พลังงานทดแทนของประเทศจีนที่มุ่งพัฒนาให้เกิดขึ้นจริงใน 5 ปี ข้างหน้า

ลอมบาร์ด โอเดียร์ คาดการณ์นี่คือการสร้างเศรษฐกิจใหม่ทึ่ส่งเสริมให้เกิดเม็ดเงินลงทุนมูลค่า 34 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (หรือกว่า 1.2 พันล้านล้านบาท) ภายในปีพ.ศ. 2573 ผู้ที่ปรับตัวได้ก่อนจะสร้างโอกาสการลงทุนมหาศาลและสร้างผลตอบแทนที่มีมูลค่าสูงในอนาคต

ลอมบาร์ด โอเดียร์ ได้มีการวางแผนการบริหารพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับภาวะทางเศรษฐกิจ พร้อมกัยออกแบบกลยุทธ์ใหม่ๆ ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก เปลี่ยนผ่านโลกไปสู่”แนวคิดเศรษฐกิจใหม่แห่งอนาคต”
ส่งผ่านแนวคิดเพื่อความยั่งยืน จาก การขับเคลื่อนนี้เริ่มต้นจากการประชุม ดูไบ จนส่งมาถึงเวที ดาวอส


ก้าวข้ามเศรษฐกิจฟุ่มเฟือย สู่ ฟื้นฟู

ลอมบาร์ด โอเดียร์ ในฐานะผู้นำในการขับเคลื่อนการสร้างความยั่งยืน ได้จัดบรรยายในหัวข้อ re-NATURE Hub เพื่อเผยแพร่ทิศทางการลงทุนที่สำคัญ เพื่อตอกย้ำบทบาทของภาคการเงิน ภาคเอกชน และภาครัฐ ซึ่งแรงขับเคลื่อนหลักที่จะต้องวางแผนร่วมกันเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายข้อตกลงปารีสในอนาคต

โดยนำสาระสำคัญจากการจัดประชุมสุดยอดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ ครั้งที่ 28 (COP28) ณ ดูไบ ที่ทั้ง200สมาชิกได้ประกาศพันธสัญญา ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนระบบการจัดการอาหาร การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของภาคอุตสาหกรรม ไปจนถึงระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน

เริ่มต้นจากหลักคิด ที่สร้างชีวิต นั่นคือ “ธรรมชาติ” คือหัวใจสำคัญ ที่ช่วยลดผลกระทบปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส ภายในปีพ.ศ. 2573 ได้ถึงหนึ่งในสาม


ทรัพยากรธรรมชาติ คือ สินทรัพย์สร้างความมั่งคั่ง

มร. ฮูแบร์ เคลเลอร์ Senior Managing Partner, Lombard Odier กล่าวว่า ระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อน โดยใช้แนวทางการฟื้นฟูธรรมชาติจะสามารถช่วยให้เราก้าวข้ามระบบเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันได้ ผ่านการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ไปสู่โลกของ Net Zero ซึ่งเป็นโอกาสการลงทุนที่สำคัญที่สุดของยุคนี้” โดยยังตอกย้ำความสำคัญของแนวคิดด้านความยั่งยืนจากงานประชุม World Economic Forum 2024 ที่เมืองดาวอส เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา

ผู้นำและผู้บริหารจากทั่วโลกต่างลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ทุกองค์กรต้องปรับการบริหารไปสู่การบริหารบนแนวทางแห่งความยั่งยืนว่า ธรรมชาติคือสินทรัพย์การลงทุนที่มีมูลค่ามหาศาล (Nature As A New Asset Class)

“การจัดการความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศ โลกได้มุ่งความสนใจไปที่การจัดการคาร์บอนมานานกว่า 20 ปี ตอนนี้เราทุกคนกำลังหันกลับไปให้ความสำคัญที่ธรรมชาติ จากในอดีตที่ทรัพยากรถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาต่ำที่สุดแต่กลับมีมูลค่ามากที่สุดในยุคปัจจุบัน”

 

รวมพลังความคิด ลงมือทำ ระดมทุน เปลี่ยนไทยยั่งยืน

จากเวทีระดับโลกแล้ว นำมาสู่การแสวงหาหาแนวทางต่างๆ ภายในประเทศตอกย้ำความสำคัญของการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับโลกในอนาคต การสร้างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย เพื่อมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจไทยไปสู่การสร้างโลกที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง

KBank Private Banking ร่วมกับพันธมิตร ลอมบาร์ด โอเดียร์ เชื่อมั่นในพลังของการลงทุน ไปสจึงตอกย้ำบทบาทของไพรเวทแบงก์ ซึ่งเป็นตัวแทนของนักลงทุนที่มีศักยภาพในการช่วยผลักดันเศรษฐกิจของไทยไปสู่ความยั่งยืนได้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างโอกาสใหม่ให้กับนักลงทุน สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า นักลงทุนถือเป็นหนึ่งในผู้นำในการขับเคลื่อนโลก และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมผ่านการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม ฉะนั้น นักลงทุนจะต้องตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาลในการลงทุนในอนาคต และจะเป็นทางรอดสำคัญที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยให้มุ่งไปสู่ยั่งยืนได้”

 

เวที ปรับวิธีคิด เปลี่ยนเศรษฐกิจไทยยั่งยืน

KBank Private Banking ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน มองว่าแนวคิดการลงทุนอย่างยั่งยืนเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยด้วยการลงมือทำ

เวทีที่จะรวมพลังนำไปสู่การขับเคลื่อนการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทย ไปสู่สังคมแห่งความยั่งยืน จึง ผ่านการจัดงาน “Rethink Sustainability: A Call to Action for Thailand" ขึ้นในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 โดยร่วมมือกับพันธมิตรรวบรวมผู้เชี่ยวชาญแนวหน้าระดับโลกและประเทศไทยที่มีความเชี่ยวชาญในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมและการวางแผนการลงทุน เพื่อมุ่งไปสู่ความยั่งยืน ซึ่งไม่เพียงตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของความยั่งยืนจากการปรับความคิด พร้อมกันกับจุดประกายให้เกิดการลงมือทำ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง

ท่านที่สนใจสามารถติดตามข่าวสาร และประเด็นสำคัญในด้านความยั่งยืน (Sustainability) เพื่อเป็นแนวทางสำหรับปรับใช้กับการบริหารธุรกิจของท่านจากสัมมนาแห่งปี “Rethink Sustainability: A Call to Action for Thailand”

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของงานได้ที่ : https://www.kasikornbank.com/en/News/Pages/rethink-sustainability-forum.aspx

 

Tag :