นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตัวเลขยอดการส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ขยายตัวได้ร้อยละ 10.3 ขณะที่ยอดส่งออก 2 เดือนขยายตัวถึงร้อยละ 13.8  ถือเป็นการขยายตัวน่าพอใจ แม้ค่าเงินบาทแข็งค่า แต่เป็นการแข็งค่าสอดคล้องกับสถานการณ์โลก แต่เศรษฐกิจของไทยก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแข็งค่าตามการเงินดุลบัญชีเดินสะพัด ขณะที่ผู้ประกอบการไทยยังสามารถแข่งขันได้ คาดว่าจากการขยายตัวในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวได้เฉลี่ยร้อยละ 12-13 ในระดับใกล้เคียงตลอดทั้งปี จนถึงเดือนธันวาคม  จึงไม่อยากให้ภาคเอกชนกังวลเรื่องค่าเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากการแข็งค่านั้นมาจากเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวและเติบโตทำให้ต่างชาติมีความมั่นใจ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อหลายปัจจัยทางเศรษฐกิจดีต่อเนื่อง จะทำให้นักลงทุนมั่นใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น หลังจากได้พูดกับนักลงทุนโดยเฉพาะต่างชาติในงาน Taking off  New Heights ของบีโอไอ เพื่อให้รับรู้ว่าแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทุกด้านใน 2 ปีที่ผ่านมา ได้เริ่มเห็นผลชัดเจนแล้วขณะนี้  และจากนี้ไปอีก 2-3 ปี จะมีแต่ปัจจัยบวกหลายด้านดีขึ้นแบบพลิกโฉมประเทศไทย ในการปฏิรูปเศรษฐกิจดิจิตอล เพราะไทยได้พ้นจุดต่ำสุดมานานแล้ว เมื่อตัวเลขการส่งออกขยายตัว การลงทุนภาครัฐ เริ่มจะออกสู่ระบบ จะทำให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ขยายตัวสูงขึ้นตามมา   ขณะที่ยอดหนี้สาธารณะของประเทศ ที่ระบุว่ามีสัดส่วนสูงขึ้นเป็นร้อยละ 42.8 นั้น ยอมรับว่ายังไมเกินกรอบความยั่งยืนทางการคลัง และต้องมองว่าการกู้เงินของรัฐบาล นำไปลงทุนด้านอะไร เพราะเมื่อลงทุนในเรื่องเทคโนโลยี  การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จะให้ผลออกมาในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ มากกว่าการกู้มาใช้จ่ายในด้านอื่น ถือว่าหนี้สาธารณะของประเทศจึงไม่น่าเป็นห่วง   จากนั้นไทยต้องเริ่มกระโดดเข้าร่วมในเวทีเสรีค้าการค้าโลกหลายเวที ทั้ง TPP และ RCEP เพราะออสเตรเลียได้ชวนไทยเข้าร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีเดินทางไปประชุมสัปดาห์ที่ผ่านมา  กระทรวงพาณิชย์ จึงต้องศึกษาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ทั้งข้อดีและข้อเสีย หากเข้าร่วมแล้วต้องชัดเจนว่าประเทศได้ประโยชน์อย่างไรบ้าง เพราะไม่เช่นนั้นเวียดนามจะแซงหน้าได้ ขณะนี้การแข่งขันในระดับเวทีโลกเริ่มรุนแรงมากขึ้น.