เจาะลึก! โอกาส พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯอีก(1)
by ThaiQuote, 16 มิถุนายน 2561
หากย้อนกลับไปดูผลการเลือกตั้งปี 2554 พรรคเพื่อไทย มี ส.ส.ระบบเขต กับ ส.ส.ระบบบัญชีรวมกัน 265 เสียง กับพรรคประชาธิปัตย์มีส.ส.ระบบเขต กับ ส.ส.ระบบบัญชีรวมกัน 159 เสียงหากเสียงสนับสนุนยังไม่เปลี่ยนแปลงตามความเชื่อของทั้งสองพรรค ทันทีหลังเลือกตั้งปี 2562 ได้ พรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ รวมกันจะได้ 424 เสียง พลเอกประยุทธ์ ต้องเจอทางตันอย่างแน่นอน ไปไม่ถึงฝันอย่างที่หลายพรรคต้องการ
ยิ่งมีตัวเลขคนหนุ่มสาวที่จะมีโอกาสใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งแรกประมาณ 7 ล้านเสียง เทียบเท่ากับจำนวนสส.100 ที่นั่ง เสียงเหล่านี้จะเทให้ใคร พรรคไหน พรรคเก่า พรรคเกิดใหม่ พรรคเฉพาะกิจ หากจะแยกแบบหยาบๆไม่เข้าข้างใครอาจแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกพร้อมหนุน 'ประยุทธ์' กลุ่มสอง เป็นกลุ่มไม่เอาเผด็จการไม่หนุนการสืบทอดอำนาจ พลเอกประยุทธ์ก็มีได้เพียง 50 เสียง
ทางเลือกที่พลเอกประยุทธ์ จำเป็นต้องเดิน คือ การเป็น “ นายกรัฐมนตรีคนใน ” ที่มีชื่อในพรรคใดพรรคหนึ่ง และพรรคนั้นจะต้องได้สส.ไม่น้อยกว่า 25 เสียง เพื่อมีสิทธิเสนอชื่อนายกฯ บวกกับมี สว.อีก 250 เสียงที่พร้อมให้การสนับสนุนอย่างแท้จริง การเลือกตั้งในปี 2562 จึงท้าทายอย่างยิ่ง ในการแสวงหา ส.ส.จากพรรคอื่นๆให้ได้มากกว่า 250 เสียง เข้าสู่ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” อย่างมีเสถียรภาพ
รัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.บ.) มีปัจจัยที่ทำให้ไม่มีพรรคใดคุมเสียงข้างมากในสภาอย่างไม่ชอบธรรม ดังเช่นในอดีต แต่เป็นเรื่องที่พรรคเก่าและพรรคใหม่ทุกพรรคต้องพยายามทำให้ได้ตามกติกาใหม่นี้
- ต้องมีไพรมารี่โหวต การประชุมสาขาพรรคครบ 100 คน หรือ มีตัวแทนพรรคการเมืองมีครบ 50 คน หากมีไม่ครบหรือมีคนประท้วงขึ้นมาก็สามารถถูกตัดสิทธิ์ได้
- อำนาจ กกต.ให้ใบส้ม ซึ่งจะอยู่ทั้งปี ดังนั้นต่อให้ผู้สมัครคนหนึ่งได้รับเลือกตั้ง มีคนหนึ่งได้รับเลือกตั้งเข้ามา มีคนประท้วงว่าไม่ทำไพรมารี่ก็ออกได้
- ในฐานะกรรมการบริหารพรรค ในตัวกฎหมายลูกบอกว่า ถ้าทำผิด พ.ร.บ. หรือกฎหมาย กรรมการบริหารพรรคก็มีสิทธิออกทั้งชุด
- นักการเมืองถ้าไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม ก็ปรับออกได้
- ในการเสนอนโยบายพรรคในการหาเสียงจะต้องระบุจำนวนเงิน ที่มา หลักการและเหตุผลของนโยบาย และจะต้องเป็นไปตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
Tag :