มองภาพรวมการเมือง เหล่า’พรรค’เริ่มขยับ!!

by ThaiQuote, 13 สิงหาคม 2561

สิ่งต่างๆเหล่านี้ คือตัวชี้ความคึกคักของการเมืองไทย ที่แม้จะยังอยู่ภายใต้อำนาจคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่ท่าทีกลุ่มการเมือง ไม่มีทีท่าจะยอมแพ้พลัง ประชารัฐ ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายวันวิชิต บุญโปร่ง รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต มองภาพรวมการเมืองว่า การเมืองไทยนับจากนี้ จะเข้าสู่ความสงบเรียบร้อยให้มากที่สุด ทุกคนมองไปทิศทางเดียวกันว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยมีโอกาสกลับมาตั้งรัฐบาล หลายฝ่ายเชื่อว่าความวุ่นวาย กลุ่มความคิดทางการเมืองที่เห็นต่าง ก็จะกลับมาอีกครั้ง จึงไม่แปลกใจที่ กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง พรรรคการเมืองเอง แสดงท่าทีชัดเจนในการสนับสนุนในการสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ดำรงตำแหน่งต่อไป หรือ เข้าสู่กระบวนการการสรรหานายกรัฐมนตรีแบบชอบธรรมต่อไป “ จึงเกิดความไม่มั่นใจว่า ต่อให้พรรคเพื่อไทยมีชัยชนะในการเลือกตั้ง สิ่งที่ทำได้คือการโดดเดี่ยวหรือลดพื้นที่ รวมทั้งความแข็งแกร่งของพรรคเพื่อไทยให้มากที่สุด ดังนั้น กลุ่มก้อนการเมืองต่างๆจึงมองว่า ความสงบเรียบร้อย ทั้งในสังคมและการเมืองบ้านเรา จึงต้องสงบก่อน “ เมื่อถามถึงกรณีพรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.) เชิญม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล มาเป็นหัวหน้าทีม เป็นการหวังผลทางการเมืองหรือไม่ รองคณบดีรัฐศาสตร์ มองว่า เป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว และชัดเจน ท่าทีของ ม.ร.ว.จัตุมงคล นั้น เป็นไม้เบื่อไม้เมากับกลุ่มต้องข้ามทางการเมือง รวมทั้งพรรคเพื่อไทยเอง และมีบทบาทชัดเจนในการไม่เอาและต่อสู้เรื่องทุจริต “ตัวม.ร.ว.จัตุมงคล เองก็เติบโตในหน้าที่การงานอย่างสวยงาม ไม่มีภาพลักษณ์สะสมหรือข้องแวะกับผลประโยชน์ใดๆ จึงเป็นที่ถูกใจแนวทางการเมืองว้าจะเป็น กปปส. หรือกลุ่มแนวคิดอนุรักษ์นิยม เพราะตัวท่านเองไม่มีภาพเสียหายในทางการเมืองเลย จุดแข็งที่สำคัญในการที่ รปช.เชิญมาเป็นหัวหน้าพรรค คือ ท่านมีจุดยืนของตัวเอง หลายคนมองว่า รปช.เป็นพรรคของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. ตรงนี้จะเป็นการลดข้อครหาและนายสุเทพไม่สามารถครอบงำม.ร.ว.จัตุมงคลได้ ผมเชื่อว่า ถ้านายสุเทพไปแสดงบทบาทเกินความจำเป็น ม.ร.ว.จัตุมงคลก็คงไม่ไว้ไมตรี” นอกจากนี้ ยังมองต่อไปว่า การวางตัวม.ร.ว.จัตุมงคล ลงมาบนกระดานการเมืองครั้งนี้ นอกจากลดข้อครหา ยังเป็นการสร้างแนวยุทธศาสตร์เป็นการต่อสู้แก้ไขปัญหาทุจริต หรือการเมืองแบบใหม่ ในขณะที่ถามถึงการลงพื้นที่ในรูปแบบ ครม.สัญจรนั้น เป็นการเตรียมความพร้อมสู่สนามเลือกตั้งของ คสช.ใช่ไหม อาจารย์วันวิชิตอธิบายให้เห็นภาพว่า ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน ทุกพรรคการเมือง ก็จะใช้พื้นที่ในการเดินสายสัญจร ชี้แจงผลงานรัฐบาลไปในตัว รวมทั้งบอกแผนงานว่ารัฐบาลจะทำอะไรต่อไป “ถ้ามองมันก็อาจจะเป็นเรื่องปกติ แต่อาจจะถูกตั้งคำถามจากกลุ่มการเมืองอื่นๆว่า ไม่ได้รับอนุญาต เคลื่อนไหว ในการทำกิจกรรมทางการเมืองในพื้นที่ได้ แต่หากเปรียบเทียบกับในอดีต ทุกรัฐบาลก็จะลงไปชี้แจงผลงาน และมองนาคตรวมกันกับคนในพื้นที่ว่าจะได้อะไรกับนโยบายของรัฐบาล “ ขณะที่มองไปยังเหล่าตัวละครทางการเมือง อย่าง นายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำ นปช. ที่ได้รับอิสรภาพ และมีท่าทีพร้อมเคลื่อนไหวทางการเมือง จะเป็นอุปสรรคของ คสช.หรือไม่ อาจารย์วันวิชิตวิเคราะห์ว่า ฝ่ายนปช.หรือตัวคุณจตุพรเอง พยายามปรับยุทธศาสตร์ในการเดินเกมต่อสู้ทางการเมืองใหม่ เริ่มแสวงหาการพูดคุย เริ่มพูดถึงเจรจาปรองดอง อโหสิ การลดพื้นที่ความขัดแย้งทางการเมืองต่อกัน ให้มากที่สุด “ยังรักษาจุดยืนอยู่ แต่แนวทางการขับเคลื่อนจะลดแนวทางที่ดุดันลง พูดง่ายๆว่า แสวงหาแนวทางสันติมากขึ้น ผมคิดว่า คสช.น่าจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร เพราะยังมองว่า ตัวกลไกหลักๆอยู่ที่ ทักษิณ ยิ่งลักษณ์มากกว่า เพราะสุดท้ายแล้ว นปช.ก็ต้องเดินเกมส์ไปในทิศทางเดียวกับพรรคเพื่อไทย” เมื่อถามถึงบทบาทของทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ที่ดูจะแสดงบทบาททางการเมืองมากขึ้น เพราะลึกๆก็กลัว คสช.ใช่หรือไม่ รองคณบดีกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่แน่นอน เขาต้องหวั่นไหวพอสมควร เพราะอย่าลืมว่า คสช. ถือไพ่ว่าจะปลดล็อคทางการเมืองหรือการเลือกตั้ง ยังไม่บอกความชัดเจน แม้จะประกาศโรดแมปว่าต้นปี2562 แต่ท้ายสุดก็อาจจะมีการใช้เกมส์ของกฏหมายเพื่อยืดเวลาให้ คสช. สามารถดำเนินกาหรือบริหารประเทศรด้วยความชอบธรรมต่อไปได้ “การที่ยืดระยะเวลาต่อไป ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยก็เริ่มมองอนาคตหรือทางลงให้ตัวเอง หากจะยืนอยู่ในระยะยาว มันมีผลต่อฐานเสียงในพื้นที่ของตัวเอง อย่าลืมว่าระยะเวลาเกือบ5 ปี นักกการเมืองไม่สามารถลงพื้นที่ได้ ความห่างเหิน ความรู้กับประชาชน กับคะแนน กับหัวคะแนน ย่อมมีผล สิ่งสำคัญที่สุดที่มีกลุ่มสามมิตรหรือกลุ่มการเมืองที่มีแนวคิด สนับสนุน คสช.หรือแม้แต่การสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ให้กลับมาเป็นนายกฯอีก มีอิสระ หรือมีการอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนไหวทางการเมืองในพื้นที่ง่ายกว่า ก็เป็นจุดที่ทำให้ส.ส.หรือคนที่มีใจลังเล มีความคิดที่จะแปรพักตร์ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น การแสดงท่าทีต่างๆของทักษิณ ไม่ต่างอะไรกับการจัดทัพหรือจัดแถว มารวมพลเพื่อดูว่ากลุ่มก้อนที่ยังจงรักภักดี หรือเอาด้วยกับทักษิณ ยิ่งลักษณ์ เหลืออยู่เท่าไหร่ ผมจึงคิดว่า ทั้ง 2 คนจะทำกิจกรรมกับส.ส.อีกเรื่อยๆ