กม.ไทยยุ่งยากแก้ปลดล็อก กัญชา-กระท่อม
by ThaiQuote, 19 ตุลาคม 2561
วงเสวนาภายใต้หัวข้อ “"การใช้กัญชา กระท่อมในการบำบัดโรค : ปัญหาและทางออก” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงเกิดขึ้นเพื่อถกถึงเรื่องนี้ และระดมความเห็นในโจทย์สำคัญ คือความเป็นไปได้ในการ “ปลดล็อค” ยาเสพติดทั้งสองชนิดนี้
ผศ.ภญ. สำลี ใจดี ประธานมูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา ฉายภาพว่า การปลดล็อคกัญชาและใบกระท่อม เพื่อการแพทย์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการอาหารและยา(อ.ย.)เท่านั้น แต่อยู่ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) ด้วย แต่เท่าที่ทราบ ร่างกฎหมายที่กำลังจะออกมา กำหนดให้ต้องปลูกกัญชาอยู่ โรงเรือนปิด ขณะที่ธรรมชาติของกัญชาเป็นพืชที่จะต้องเจอกับแสงแดด ซึ่งไม่ถูกต้องกับหลักธรรมชาติของพืช2ชนิดนี้
ผศ.ภญ. สำลี สำทับว่า ภาคีเครือข่ายนักวิชาการและภาคประชาคม 13 องค์กร ขอเรียกร้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควรใช้มาตรา 44 ปลดล็อคกัญชาและใบกระท่อม ออกจากพ.ร.บ.ยาเสพติด ซึ่งจะรวดเร็วกว่าขั้นตอนปกติ เพราะหากรอสนช.พิจารณาคงไม่ทันในรัฐบาลชุดนี้ รวมทั้งให้แพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบัน ไปแก้ร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ เพราะการปลดล็อคพืช 2 ตัว แต่ให้ปลูกเฉพาะในเชิงวิจัย ทดลองใช้ในการแพทย์ ก็ไม่ได้แก้ปัญหาสังคมไทย เพราะไม่ได้เปิดช่องให้ชาวบ้านใช้ทำยาได้เอง
ปลดล็อคยุ่งยากติดปัญหากฎหมาย
นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ในฐานะคณะกรรมการวิสามัญในการพิจารณาศึกษายาเสพติด สะท้อนว่า การพิจารณาเรื่องปลดล็อคยาเสพติดครอบคลุมหน่วยงาน 9 กระทรวง มีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก หน่วยงานหลักในการดูแลคือ ป.ป.ส. แต่ ป.ป.ส. เป็นหน่วยงานที่เทอะทะ ประชุมแต่ละครั้งไม่ได้ผลสรุป ศึกษาเสร็จก็เสนอรัฐบาลไป แต่เรื่องก็เงียบไป เสนออะไรไปก็ไม่มีการพิจารณาหรือศึกษา
ทั้งนี้ นพ.เจตน์ ได้อธิบายให้เห็นภาพในการที่พยายามผลัดดันการปลดล็อคว่า แนวคิดของสหประชาชาติ คือการเปลี่ยนแนวคิดผู้เสพคือผู้ป่วย และยาเสพติดสามารถใช้ในการแพทย์ได้ แต่ปัญหาคือแนวคิดใหม่ขัดกับพ.ร.บ.ยาเสพติดพ.ศ.2522 การแก้ไขปัญหาตรงนี้จึงมีความยากลำบาก เพราะเท่ากับเป็นการรวมกฏหมาย 21 ฉบับเข้าด้วยกัน
สำหรับเรื่องการปลดล็อกนั้น นพ.เจตน์ กล่าวว่า ในกฎหมายใหม่ทำการเสนอกันอยู่ในขณะนี้นั้น เมื่อส่งไปยังกฤษฎีกาถอดคณะกรรมการยาเสพติดที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาท ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบอย่างมาก เพราะยาเสพติดที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาทเป็นที่นิยมมากกว่า รวมทั้งในคณะกรรมการแก้ไขมีทั้งสายเยี่ยวและสายพิราบ คือคนที่เน้นปราบปรามอย่างเดียวรวมอยู่ด้วย จึงมีการรวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอถอดกัญชาและกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติด เมื่อหัวใจคือการถอดกัญชาและกระท่อม จึงต้องย้อนกลับไปดูพ.ร.บ.ยาเสพติดพ.ศ.2522 ในกฏหมายระบุว่า กัญชา และ กระท่อมเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 จึงมีความยุ่งยากในการถอดถอนออกจากพ.ร.บ.
นอกจากนี้ นพ.เจตน์ ได้กล่าวถึงการใช้กัญชาในต่างประเทศด้วยว่า ในเมืองนอกอย่างโซนยุโรป แม้จะมีการให้เสพเพื่อสันทนาการนั้น เป็นผลมาจากว่า แม้จะมีกฏหมายควบคุม แต่ก็ยังมีการลักลอบเสพอยู่ จึงแก้ไขปัญหาด้วยการเปิดเสรี เพราะอย่างน้อยรัฐก็สามารถได้เงินภาษี แต่ในไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะเปิดเสรีในการเสพเพื่อสันทนาการ หรือ เพื่อความเพลิดเพลิน
ทั้งนี้ นพ.เจตน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันร่างกฎหมายฉบับนี้อยู่ระหว่างการทำประชาพิจารณ์ ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ ปลายเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งประชาชนสามารถแสดงความเห็นในเว็บไซต์ได้ ขั้นตอนหลังจากนั้นจึงเสนอเข้าบรรจุในวาระการพิจารณาของที่ประชุมสนช.คาดว่า ธันวาคม ร่างกฎหมายฉบับนี้จะผ่านสภาได้
ญี่ปุ่นพยายามจดสิทธิบัตร กระท่อม
นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการชีววิถี (ไบโอไทย) ในเรื่องสิทธิบัตรใบกระท่อมนั้น มีมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ในความเป็นจริงแล้วนั้น มีหลายบริษัทที่ได้จดสิทธิบัตรเรื่องนี้แล้ว แต่ ญี่ปุ่นมีความเก่งมากในเรื่องจดสิทธิบัตรและโฟกัสการใช้ สารสกัดจากพืช โดยเฉพาะโครงการวิจัย ส่วนใหญ่ร่วมกับไทยเป็นหลัก ในปัจจุบัน ได้จดสิทธิบัตรไปแล้ว 3 อย่างที่เกี่ยวกับกระท่อม ใบแรกจดที่ สหรัฐอเมริกา ปี 2012และ2014 โดยมหาวิทยาลัยชิบะ อีก 2 ใบจดในญี่ปุ่น และญี่ปุ่นยังได้ยื่นขอจดสิทธิบัตรในลายละเอียดเดียวกัน ในสนธิสัญญาว่าด้วยเรื่องสิทธิบัตรระหว่างประเทศ สิ่งที่ญี่ปุ่นขอจดสิทธิบัตรนั้นมี 5 เรื่องสำคัญ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการพัฒนายาของไทย ในเรื่องของกระท่อม ซึ่งหากเขาสามารถจดสิทธิบัตรในประเทศไทย หรือประเทศอื่นท่าจะเป็นตลาดในอนาคต 1.จดสิทธิบัตรว่าด้วยเรื่องอนุพันธุ์ของไมทราไจนีน (Mitragynine) เป็นสารที่พบในกระท่อม สารแอลคาลอยด์ทั้ง 40 ชนิดในตัวมัน พบไมทราไจนีนถึง 60 % ถ้าเรายังใช้วิธีการสกัดแบบเดิมๆเราจะมีผลกระทบแน่นอน 2.เรื่องกรรมวิธีผลิตสารสกัด
- สูตรยาจากสารสกัด 4.การนำสารสกัดไปใช้ในรูปแบบครีม เจล พ่น 5.การใช้สารนี้ตั้งแต่ 0.1-100% และ6. การครอบคลุมการใช้สารสกัดในการรักษาคนและสัตว์ จะเห็นได้ว่าญี่ปุ่นรุดหน้าและครอบคลุมมาก ตอนนี้แม้จะยังไม่มีปัญหาในประเทศไทย เพราะยังไม่สามารถจดสิทธิบัตรในบ้านเราได้ ด้วยเหตุผลหลายประการ อย่างแรกคือผิดกฎหมายไทย และอีกแง่คือการเข้ามาวิจัยและใช้ทรัพยากรจากชีวภาพในประเทศและมีหลักฐานชัดเจนในงานวิจัย เขาต้องขออนุญาตและแบ่งปันผลประโยชน์ตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ถ้าญี่ปุ่นจดสิทธิบัตรตรงนี้สำเร็จจะส่งผลกระทบต่อประเทศอนุสัญญา 150 ประเทศ ซึ่งประเทศไทยรวมอยู่ด้วย
Tag :