“สนธิรัตน์” ลงพื้นที่แนะชาวบ้านปลูก “ไม้มีค่า”

by ThaiQuote, 15 พฤศจิกายน 2561

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ลงพื้นที่ไปยังธนาคารต้นไม้บ้านท่าลี่ ซึ่งเป็นชุมชนที่เป็นธนาคารต้นไม้แห่งแรกของประเทศไทย ใน จ.ขอนแก่น เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ หลังจากที่กฎกระทรวงกำหนดให้ทรัพย์สินอื่นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ.2561 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย.2561 ที่ผ่านมา โดยชี้แนะให้เกษตรกร ประชาชนปลูกไม้ยืนต้นในที่ดินกรรมสิทธิ์ของตัวเอง เพราะในอนาคตจะสามารถนำมาใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้

“เมื่อก่อนไม้ยืนต้นที่ปลูกในที่ดินกรรมสิทธิ์ไม่มีสิทธิ์รับการประเมินในการให้สินเชื่อ จะประเมินเฉพาะส่วนที่เป็นที่ดินเท่านั้น แต่หลังจากที่กฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ ทำให้สถาบันการเงินสามารถเพิ่มประเภททรัพย์สินในการให้สินเชื่อมากขึ้น ส่งผลดีทั้งต่อสถาบันการเงิน เกษตรกร และประชาชนที่ต้องการใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอสินเชื่อ โดยมีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน” นายสนธิรัตน์ กล่าว

นอกจากนี้ ยังได้ส่งเสริมให้เกษตรกรและคนในชุมชนรวมกลุ่มกันสร้าง “ชุมชนไม้มีค่า” ตามแนวนโยบายประชารัฐและไทยนิยมยั่งยืนของรัฐบาล เพื่อส่งเสริมให้มีการปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจในที่ดินกรรมสิทธิ์หรือที่ดินที่มีสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของชุมชน และยังช่วยเพิ่มพื้นที่ป่า ซึ่งเป็นแหล่งออกซิเจนให้แก่ประเทศ ลดภาวะก๊าซเรือนกระจกที่เป็นปัญหาระดับโลก โดยรัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายให้เกิดชุมชนไม้มีค่า จำนวน 20,000 ชุมชน ภายใน 10 ปี ส่งเสริมและขยายผลให้ประชาชน 2.6 ล้านครัวเรือนปลูกต้นไม้รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,000 ล้านต้น ซึ่งจะทำให้มีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น 26 ล้านไร่ เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 1 ล้านล้านบาทต่อปี

ในโอกาสเดียวกันนี้ ยังได้เดินเยี่ยมชมสวนไม้ยืนต้นเศรษฐกิจของชุมชน และดูการสาธิตการประเมินราคาต้นไม้ด้วย

ขณะเดียวกัน ได้เตรียมพัฒนาพื้นที่ปลูกป่าทั่วประเทศให้เป็นแหล่ง “คาร์บอนเครดิต” (Carbon Credit) ของโลกเพื่อการซื้อขายในอนาคต โดยคาร์บอนเครดิตเป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่สามารถตีราคาเป็นเงินและสามารถซื้อขายกันได้ในตลาดเฉพาะที่เรียกว่าตลาดคาร์บอน โดยในปัจจุบันยังไม่มีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทย แต่ในอนาคตคาดว่าจะเป็นสินค้าที่มีความสำคัญและมีการซื้อขายกันมากยิ่งขึ้น เพื่อทดแทนการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (คาร์บอนไดออกไซต์) ที่ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมหรือจากการคมนาคม

ทั้งนี้ สำหรับคาร์บอนเครดิต หมายถึง ก๊าซที่เป็นตัวทำให้ปฏิกิริยาเรือนกระจกต่างๆ ที่แต่ละโรงงานสามารถลดได้ จะถูกตีราคาเป็นเงิน ก่อนจะถูกขายเป็นเครดิตไปยังประเทศที่พัฒนาแล้ว ตามข้อตกลงในพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocal) ที่กำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้ว (Annex1) ต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก (Green House Effect) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ "โลกร้อน" ในหลายแนวทาง หนึ่งในนั้นคือ "การซื้อขายมลพิษ" หรือคาร์บอนเครดิตกับประเทศที่กำลังพัฒนา (Non-Annex1) เพราะประเทศที่พัฒนาแล้วไม่สามารถลดก๊าซที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกลงได้ ดังนั้น การซื้อขายคาร์บอนเครดิตจึงเปรียบเสมือนความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมโลกร่วมกันของผู้ประกอบการจากประเทศที่พัฒนาแล้ว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“สนธิรัตน์” ปลื้ม หอมมะลิภาคอีสานราคาพุ่งต่อเนื่อง

แบงก์-ธ.ก.ส. รับลูกแล้ว!! “พาณิชย์”ดันคนไทยปลูกไม้เศรษฐกิจ ใช้ค้ำกู้เงินได้