นำ “หัวปลี”มาปรุง ได้ทั้งอาหาร ได้ทั้งยา

by ThaiQuote, 9 ธันวาคม 2561

ปัจจุบันภูมิปัญญาเหล่านี้ลดความสำคัญลงไปมาก หรือบางครั้งอยากจะปรุงกินก็ทำกันไม่เป็น ก็ขอนำตำรับดั้งเดิมผ่านประสบการณ์คุณแม่ลูกหลายคนมาเผยให้รู้จักใช้กัน ดังนี้ ใช้หัวปลีกล้วยน้ำว้าจะช่วยให้มีน้ำนมมาก หลังคลอดสัก 2 สัปดาห์ สามารถทำกินได้ทุกวัน แนะนำให้กินมื้อเย็นถือเป็นเมนูอาหารหลักได้เลย กินได้นานตลอดเวลาที่ยังให้นมลูก ซึ่งใช้ส่วนประกอบ ดังนี้ หัวปลีกล้วยน้ำว้า 1 หัว พริกไทยดำ 20 เม็ด นำมาป่นให้ละเอียด กุ้งแห้งเลือกอย่างดีหน่อยเอามาสัก 1 กำมือแล้วโขลกให้เป็นผุย หอมหัวเล็ก(หอมแดง) 4-5 หัว กะปิ 1 ช้อนชา ใบแมงลักประมาณ 3 ช่อ วิธีปรุง หั่นหัวปลีกล้วยตามขวางบาง ๆ รอไว้ จากนั้นโขลกพริกไทย หอมเล็ก กะปิ กุ้งแห้งให้ละเอียด แล้วนำไปละลายในน้ำสะอาดประมาณ 1 ชามแกง แล้วตั้งไฟต้มน้ำให้เดือด (ระวังน้ำล้น) เมื่อน้ำเดือดแล้วใส่หัวปลีที่เตรียมไว้ลงไป ปิดฝาทิ้งไว้ให้สุกก่อนยกลงจากเตาหรือดับไฟ จากนั้นใส่ใบแมงลักลงไป แล้วปิดฝาหม้อทิ้งไว้อีกสัก 10 นาที เมนูบำรุงน้ำนมนี้กินกับข้าวร้อน ๆ ก็เท่ากับจะมีน้ำนมขาวข้น มากพอให้ลูกน้อยได้ดื่มกิน หากจะพูดให้เก๋ เป็นจุดขายก็น่าจะพูดได้ว่า “เมนูดอกไม้” บำรุงน้ำนม เพราะหัวปลีหรือ banana blossom ก็คือส่วนของดอกกล้วย ที่ยังไม่ได้โตจนกลายเป็นผลกล้วย จึงยังเป็นส่วนที่มีมีกาบห่อหุ้มอยู่ภายนอกเรียงตัวทับซ้อนกันแน่นเป็นรูปดอกบัวตูมทรงสูงนั้นเอง หัวปลี นำมากินดิบและสุกก็ได้ เช่นกินดิบเป็นผักเคียง เช่น กินกับผัดไท ซึ่งจะมีรสชาติฝาด ๆ แต่ถ้าต้มสุกจะมีรสชาติอร่อยมีหวานน้อย ๆ ในทางยาแพทย์แผนไทยหรือยาพื้นบ้าน ถือว่าหัวปลีนอกจากเป็นอาหารบำรุงน้ำนมของสตรีให้นมลูกแล้ว หัวปลี คือยาบำรุงเลือด แก้ภาวะโลหิตจาง ลดน้ำตาลในเลือด และแก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ด้วย น่าจะอธิบายได้ว่า จากการศึกษาในปัจจุบันพบว่า ปลีกล้วยมีธาตุเหล็กอยู่จำนวนมากพอสมควร จึงมีส่วนในการบำรุงเลือด แก้ภาวะโลหิตจาง และมีสูตรยาโบราณขนานหนึ่งกล่าวว่า ปลีกล้วยแก้ปัญหาปวดท้องโรคกระเพาะ และปัญหาลำไส้ โดยให้ นำหัวปลีมาเผา แล้วคั้นเอาแต่น้ำมากินครั้งละประมาณ ½ แก้ว ควรกินก่อนกินอาหารแต่ละมื้อสัก 1 ชั่วโมง หัวปลีจะเป็นยาคล้าย ๆ จะช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร ซึ่งเคยมีงานศึกษาในต่างประเทพบว่า สารสกัดจากหัวปลีสามารถลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้มากถึง 47.88-87.63% โดยเฉพาะในกลุ่มที่ทดลองที่มีอาการแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากผลการดื่มสุรา จึงเท่ากับสอดคล้องกับภูมิปัญญาดั้งเดิมของเรา นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า การนำเอาหัวปลีกล้วย 1 หัว มาย่างไฟให้เปลือกชั้นนอกไหม้เกรียม แล้วนำไปต้มกับน้ำ (ใส่น้ำพอท่วมหัวปลี) น้ำต้มให้เดือด แล้วกินน้ำยาหัวปลีต่างน้ำให้หมดในวันนั้น วันรุ่งขึ้นต้อมใหม่ กิน 7 วัน จะช่วยบรรเทาอาการเบาหวานหรือช่วยลดน้ำตาลในเลือด แต่ผู้เป็นเบาหวานควรควบคุมอาหารการกินและออกกำลังกายสม่ำเสมอด้วย ในปลีกล้วยยังมีสาระสำคัญในกลุ่ม ฟีโนลิก เช่น แอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงเป็นอาหารสุขภาพที่กินเป็นประจำย่อมช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ ได้ และที่พิเศษจริง ๆ ที่ชาวต่างชาติสนใจก็ตรง ที่ หัวปลีมีแคลอรี่ต่ำ แต่มีคุณค่าทางโภชนาการไม่ธรรมดา มีแคลเซียมสูง มีโปรตีน มีธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินซี และบีตา-แคโรทีน ถ้าได้ทำเป็นเมนูอาหารกินเป็นประจำ ก็คือ อาหารเพื่อสุขภาพชั้นเลิศดี ๆ นี่เอง ลองสูตร ยำหัวปลีของมูลนิธิสุขภาพไทยไปทำกิน ดังนี้ เคล็ดลับ หั่นหัวปลีบาง ๆ แล้ว ควรแช่ในน้ำมะขามเปียกหรือน้ำมะนาว (น้ำที่มีรสเปรี้ยว) ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด เพื่อไม่ให้หัวปลีสีคล้ำ ทำให้น่ากิน และลดความฝาดลงบ้าง ในการปรุง ยำสูตรนี้ หาภาชนะเช่นชามใบใหญ่ ให้ใช้น้ำพริกเผารสที่ชอบใส่ลงไป ผสมน้ำมะนาว น้ำตาลทรายแดง น้ำปลา แต่งรสตามใจชอบ แต่ไม่ควรหวานเค็มเกินไป เมื่อคลุกเคล้าดีแล้ว ใส่หัวปลี มะพร้าวคั่ว ถั่วลิสงคั่ว ใบชะพลู คลุกเคล้าให้เข้ากัน หากอยากได้เนื้อสัตว์กินด้วย แนะนำเป็นปลากรอบ หรือกุ้งแห้ง หรือที่ชอบได้ ยำหัวปลีนี้ ใครได้กินแล้ว ฟิน สุด ๆ รสชาติแบบอาหารไทย แล้วยังได้สรรพคุณบำรุงร่างกาย บำรุงโลหิต ไม่จำเป็นว่ากำลังให้น้ำนมลูกก็ทำกินกันได้ทุกสัปดาห์ กินแล้วเลือดลมดี ผิวพรรณผ่องใส โบราณว่ามีเลือดฝาด คือ ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล และช่วยระบบขับถ่ายไม่ให้เก็บสะสมของเสียในร่างกายได้ดีด้วย นอกจากเมนูยำแล้ว หัวปลียังปรุงอาหารได้หลายประเภท ทั้ง แกง ผัด ชุบแป้งทอด หรือผัดใส่ไข่ก็ได้รสชาติเด็ดเช่นกัน   ขอขอบคุณข้อมูลจาก มูลนิธิสุขภาพไทย แหล่งที่มาของข้อมูลและภาพ http://www.thaihof.org/main/article/detail/4405?fbclid=IwAR19iHfPiAHJyzlrGR2MyXpGdINTWDVqt1AqWp2oRI6MwJuOwl3kTbgQ6IM